วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

อยากให้ลูกเรียนว่ายน้ำ ควรจะเริ่มเมื่อไหร่ดี

อยากให้ลูกเรียนว่ายน้ำ ควรจะเริ่มเมื่อไหร่ดี

      คุณพ่อคุณแม่หลายท่าน อยากให้ลูกเรียนว่ายน้ำกันตั้งแต่เล็ก โดยได้ยินเขาว่า จะทำให้เด็กแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย และได้ออกกำลังกายด้วย จึงมักจะถามคุณหมอว่า จะเรี่มเรียนว่ายน้ำเมื่ออายุเท่าไรดี แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยเห็นโฆษณา ที่มีการนำเด็กเล็กๆ มาว่ายน้ำให้ดูในทีวี ได้อย่างน่ารัก ทำให้เกิดความรู้สึกว่า อยากให้ลูกของตนว่ายน้ำได้อย่างนั้นบ้าง
   ซึ่งโดยความเห็นของกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในหลายๆประเทศแล้ว (เช่น สมาคมกุมารแพทย์ของอเมริกา) ส่วนใหญ่จะแนะนำว่า ควรจะรอให้ลูก มีอายุอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป ก่อนที่จะให้เรียนว่ายน้ำอย่างจริงจัง เพราะอายุ 3 ขวบขึ้นไป เด็กจะเริ่มโตพอ ที่จะช่วยตัวเองได้บ้าง และจะสามารถทำตามที่ครูผู้สอนฝึกให้ได้ แต่ถ้าหมายถึง การลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ กับครอบครัว เพื่อการใช้เวลาร่วมกัน โดยมีคุณพ่อคุณแม่ อยู่ด้วยกับเด็กตลอดเวลานั้น สามารถทำได้ ตั้งแต่ลูกยังเล็ก อายุไม่กี่เดือน

   ข้อควรคำนึงหลายประการ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจ ให้ลูกได้ลงเล่นน้ำ คือ
 แม้ว่าลูกอาจจะดูว่าสนุกกับการอยู่ในน้ำ (ไม่กลัวน้ำ) ขณะอยู่ในอ้อมกอดของคุณ และทำเหมือนจะเตะน้ำไปมาได้ ทำให้คุณพ่อคุณแม่บางคนคิดว่า จะทำให้ลูกคุ้นกับน้ำ และจะได้มีความมั่นใจ และปลอดภัยเมื่อลูกต้องลงน้ำ แต่การที่จะให้ลูกเล็กหัดว่ายน้ำอย่างจริงจังนั้น มักจะไม่ประสบความสำเร็จ และยังอาจเป็นอันตราย เนื่องจากเด็กยังเล็กเกินไปที่จะช่วยตัวเองได้ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ขณะอยู่ในน้ำ ทั้งนี้เพราะการที่ให้เด็กเรียนว่ายน้ำตั้งแต่เล็กๆ ไม่ได้ทำให้เขาโตขึ้นเป็นนักว่ายน้ำที่เก่งมากกว่าเด็กอื่น และไม่ได้ทำให้เขาเรียนรู้ เรื่องการดูแลตนเองขณะอยู่ในน้ำ จนไม่เกิดอันตรายจากการจมน้ำได้ดีกว่าเด็กคนอื่นๆ

   ในความเป็นจริงแล้ว เด็กที่คุ้นเคยกับน้ำจากการเรียนว่ายน้ำ (รวมทั้งผู้ปกครองด้วย) อาจจะมีความรู้สึกว่า ตนเองปลอดภัย และเกิดความเชื่อว่า จะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ เมื่ออยู่ในน้ำ ทำให้เกิดความประมาท และอาจเกิดอันตรายจากการจมน้ำได้ง่ายๆ เพราะแม้ว่าลูกจะว่ายน้ำเป็นบ้าง ก็ยังสามารถเกิดเรื่องอันตรายที่ทำให้จมน้ำได้เสมอ (ตัวอย่างเช่น วิ่งลื่น หัวกระแทกขอบสระ ทำให้หมดสติ จมน้ำ, เข้าไปช่วย หรือ ถูกเด็กคนอื่นที่ว่ายน้ำไม่เก่ง จับหรือดึงให้จมน้ำลงไปด้วยกัน ฯลฯ) ดังนั้นแม้ว่า เด็กจะว่ายน้ำได้ดีเพียงไรก็ตาม ก็จะต้องมีผู้ใหญ่ ที่สามารถให้การช่วยเหลือได้เมื่อมีปัญหา อยู่กับเด็กเสมอ ตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในบริเวณสระว่ายน้ำ

   แต่ถ้าคุณได้ตัดสินใจสมัครให้ลูกเล็กได้เรียนว่ายน้ำไปแล้ว ก็ขอให้สอบถามว่า การสอนว่ายน้ำนั้นมีขั้นตอนอย่างไร และมีกฎเกณฑ์ปฏิบัติเรื่องความปลอดภัยอย่างไรบ้าง และคอยสอดส่องดูแล ตลอดเวลาที่ลูกอยู่ในน้ำ และบริเวณสระ

   ไม่ควรให้เด็กเล็กทำการดำน้ำ หรือเอาศีรษะอยู่ในระดับน้ำ เนื่องจากเด็กเล็กจะชอบที่จะกลืนน้ำ ลงไปในกระเพาะได้ค่อนข้างมาก ซึ่งในบางรายอาจเกิดอันตราย จากการที่เด็กดื่มน้ำเปล่าเข้าไปมากเกินไป จนเกิดภาวะน้ำเกินในร่างกาย (Water Intoxication) ทำให้เกลือโซเดียม และสารอื่นๆในเลือด ต่ำลง จนเป็นอันตราย มีอาการซึมลง สมองบวมน้ำ และชักอย่างรุนแรงได้

   ควรอยู่กับลูกตลอดเวลา ตัวต่อตัว (one-on-one, parent-child pairing) และควรสอบถามว่า มีครูฝึก หรือ คนดูแลเรื่องความปลอดภัย ที่ได้ผ่านขั้นตอนการอบรมปฏิบัติการช่วยชีวิต เช่น การปฐมพยาบาล การช่วยหายใจผายปอด ฯลฯ อยู่ดูแลตลอดเวลาของการใช้สระน้ำหรือไม่

 ขอบคุณ ที่มา:
นพ.ประสงค์ พฤกษานานนท์
คลินิกเด็ก.คอม

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2561

ยาลดไขั

ยาลดไขั

ถาม: ยาลดไข้มีหลายชนิด จะเลือกใช้อย่างไรดี
ตอบ: ยาลดไข้ที่มีใช้กันนั้นมีตัวยาแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ
     พาราเซตามอล ซึ่งถือเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง และมีฤทธ์ในการลดไข้ได้ดี จึงเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไป แต่ถ้าใช้เกินขนาดมากก็จะเกิดอันตรายต่อตับได้
     แอสไพลิน เดิมใช้กันมาก แต่ปัจจุบันนี้ใช้กันน้อยลง เนื่องจากมีข้อจำกัดในการใช้ในโรคบางอย่างเช่น ไข้เลือดออก,ไข้หวัดใหญ่, อีสุกอีใส เนื่องจากแอสไพลินมีผลทำให้เกร็ดเลือดแข็งตัวช้าทำให้มีเลือดออกง่าย, อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร และ พบว่าแอสไพลินนั้นมีความสัมพันธ์กับการเกิดไรน์ซินโดรม (Reye’s Syndrome) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่มีอันตรายและอัตราตายสูง จากภาวะสมองบวม และตับ,ไตวาย
    ไอบลูโปรเฟน เป็นยาที่เริ่มมีความนิยมใช้กันมากขึ้น เนื่องจากมีฤทธ์ในการลดไข้ได้ดีและไม่ปรากฏรายงานการเกิดไรน์ซินโดรมเหมือนอย่างแอสไพลิน และไม่มีผลต่อตับมากนัก แต่มีข้อควรระวังในเรื่องการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และ อาจมีผลต่อการทำงานของไตในกรณีที่เด็กมีภาวะขาดน้ำค่อนข้างมาก ทำให้เกิดไตวายแบบเฉียบพลันได้
    ดังนั้นการใช้ยาลดไข้จึงควรจะรู้ถึง ขนาดของยาที่ใช้กับลูก ซึ่งจะคำนวณตามน้ำหนักตัว, ระยะเวลาห่างที่จะให้ยาซ้ำได้, และคอยดูแลให้ลูกได้ดื่มน้ำได้เพียงพอ ไม่มีปัญหาเรื่องขาดน้ำ
    ยาลดไข้ยังมีรูปแบบการให้ได้หลายวิธี คือ แบบรับประทานซึ่งได้กล่าวไปแล้ว, แบบเหน็บก้น ซึ่งมีความสะดวกในกรณีที่เด็กทานยายากหรือมีอาเจียนมาก ในบ้านเราก็จะมียาเหน็บก้นชนิดที่เป็นยาแอสไพลิน ซึ่งจะมีผลในการลดไข้และผลข้างเคียงต่างๆเหมือนกับชนิดรับประทานเช่นกัน แต่ในต่างประเทศจะมียาเหน็บพาราเซตามอลให้เลือกใช้ได้
    สำหรับยาลดไข้ชนิดฉีดเข้ากล้ามนั้นไม่แนะนำให้ใช้ในเด็ก เพราะจะมีอันตรายได้หลายอย่าง ทางกุมารแพทย์ทั่วไปจึงไม่ได้ใช้กัน

ถาม: ทำไมข้างขวดยาลดไข้จึงเขียนบอกไว้ว่า ห้ามใช้ติดต่อกันเกิน 5 วัน
ตอบ: เป็นคำเตือนทั่วไปที่ติดไว้ข้างขวดยาโดยมีเจตนาเพื่อให้ผู้ที่ใช้ยาได้พิจารณาไปพบแพทย์ เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัย และรักษาที่ถูกต้อง แต่ถ้าได้พบแพทย์แล้ว และทราบในการวินิจฉัยโรคและกำลังให้การรักษาที่ถูกต้องอยู่แล้ว การทานยาลดไข้ตามขนาดยาที่แพทย์แนะนำเกิน 5 วันก็ไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด

   แต่ถึงอย่างไรก็ตามถ้าลูกยังมีไข้สูงนานหลายวัน ก็ควรจะพาลูกไปพบแพทย์อีกครั้งเพื่อตรวจหาสาเหตุของไข้อย่างละเอียด เพราะมีการติดเชื้อหลายชนิดที่อาจไม่มีอาการจำเพาะ ที่จะแสดงออกให้เห็นชัดเจนในช่วงวันแรกๆของการเจ็บป่วย เช่น ไข้เลือดออก แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายวันขึ้น ก็จะเริ่มมีอาการต่างๆของไข้เลือดออกชัดเจนขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงของผลเลือด ทำให้แพทย์สามารถให้การวินิจฉัยว่าเป็นไข้เลือดออกได้ก่อนที่จะเกิดอันตรายแทรกซ้อนจากไข้เลือดออก หรือ ไข้อาจเกิดจากการติดเชื้ออย่างอื่น เช่น ทัยฟอยด์, การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ,ปอดบวม ฯลฯ จึงจำเป็นที่จะไปพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง

ขอบคุณ ที่มา:
นพ.ประสงค์ พฤกษานานนท์
คลินิกเด็ก.คอม

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2561

การให้นมผสม

     คุณแม่บางคนไม่สามารถจะให้นมบุตรได้ ซึ่งอาจจะมีสาเหตุต่าง ๆ เช่น เมื่อแม่ต้องทำงานนอกบ้าน หรือแม่เป็นโรคบางชนิด หรืออาจจะมีความผิดปกติของหัวนม เช่น
–หัวนมแยกเป็น 2 แฉก
–หัวนมแบน
–หัวนมบอด
–หัวนมบุ๋ม
กรณีต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้แม่ไม่สามารถให้นมบุตรได้ จึงจำเป็นต้องเลี้ยงทารกด้วยนมผสม

การเตรียมนมผสม
  –ล้างมือให้สะอาดก่อนเตรียมนมผสม
  –เทน้ำที่ต้มเดือดแล้วใส่ในขวดที่ได้ทำความสะอาดแล้ว ตามจำนวนที่ต้องการให้น้ำอุ่น ๆ พอควร
  –เติมนมลงไปตามจำนวนข้อที่กำหนดแล้วปิดปากขวดด้วยจุกและฝาขวด เขย่าให้นมละลายเวลาผสมนม ควรผสมให้มากกว่าจำนวนที่เด็กกินได้เล็กน้อย แล้วทิ้งส่วนที่เหลือไปดีกว่าที่จะผสมไม่พอแล้ว ต้องผสมเพิ่มเติมภายหลัง เมื่อเด็กรับประทานเสร็จแล้วควรล้างขวดนมทันที หรือแช่น้ำไว้ก่อน การตั้งทิ้งไว้จะทำให้มีคราบนมจับและทำความสะอาดได้ยาก

วิธีให้นมผสม
  –ล้างมือให้สะอาดก่อนให้นมลูกทุกครั้ง
  –อุ้มเด็กให้ศีรษะอยู่ตรงรอยพับข้อศอก ฝ่ามือข้างเดียวกันนั้นรองรับที่ก้นเด็ก ให้ลำตัวเด็กทอดอยู่ที่แขนของมารดา อุ้มให้ศีรษะเด็กสูงกว่าลำตัวเล็กน้อย ลักษณะการอุ้มต้องกระชับ ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย
  –ควรตรวจอุณหภูมิของนมที่เตรียมมานั้นก่อนทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้นมร้อนเกินไป โดยหยดนมลงบนหลังมือสัก 2-3 หยด
  –น้ำนมที่ให้ทารกดูดนั้นไม่ควรร้อนหรือเย็นเกินไป
  –เอียงขวดให้นมอยู่ในระดับที่เต็มหัวนมเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กดูดอากาศเข้าไป
  –อย่าให้เด็กใช้มือจับหัวนม หรือทิ้งเด็กให้ดูดขวดโดยไม่คอยเฝ้าดูแล
  –ถ้าเด็กดื่มไม่หมด นมในขวดที่เหลือให้เททิ้งอย่าเก็บไว้ให้ดูดอีกในครั้งต่อไป
  –หลังจากให้นมแล้วจับให้เรอโดยให้นั่ง แล้วใช้มือลูบหลังหรือตบหลังเบา ๆ ในช่วงเด็กยังเล็ก ๆ อยู่ แต่เมื่อลูกโตขึ้น คอเริ่มแข็งสามารถจับเรอโดยวิธีพาดบ่าแล้วลูบหลังเบา ๆ ได้เช่นกัน

วิธีทำความสะอาดขวดนม และจุกนม
  –ล้างขวดนมด้วยแปรงและน้ำยาล้างขวดนม ล้างจุกนมทั้งภายในและภายนอกให้สะอาด เช่นเดียวกันและอย่าลืมแปรงบริเวณคอขวดกับฝาปิดขวดด้วย
  –วางขวดนมและฝาขวดนมลงในหม้อต้มน้ำต้มจนเดือด โดยต้มขวดนมนาน 10 นาที แยกต้มจุกนมเพียง 5 นาที หรือนึ่งด้วยเครื่องนึ่งขวดนมด้วยไอน้ำ นาน 20 นาที หลังน้ำเดือด

ข้อควรคำนึงในการให้นมแม่หรือนมผสม
  1.เวลา เวลาที่ให้นมควรเว้นระยะระหว่างมื้อให้พอดีกับความต้องการของเด็ก ซึ่งโดยทั่วไปจะเว้นระยะ 3-4 ชั่วโมง ต่อ 1 มื้อ ในเด็กแรกเกิด เมื่อโตขึ้นก็เว้นระยะระหว่างมื้อมากขึ้นตามความต้องการของเด็ก เด็กบางคนอาจจะหิวก่อนหรือหลังเวลาที่กำหนด ขึ้นอยู่กับความจุของกระเพาะเด็กที่แตกต่างกันแต่ปกติกระเพาะเด็กจะได้ประมาณ 50-60 ซี.ซี. และขึ้นอยู่กับมื้อก่อนหน้านั้นว่าเด็กดูดนมได้มากหรือน้อย อิ่มหรือไม่อิ่มด้วย
  2.วิธีการให้นมเด็ก ไม่ว่าจะให้นมแม่หรือนมผสม ควรจะอุ้มให้ถูกวี ให้ศีรษะเด็กอยู่ตรงรอยพับของข้อศอกของลำแขนข้างเดียวกันทอดไปตามลำตัวเด็ก และมือข้างเดียวกันนั้นประคองที่ก้นเด็ก ให้หัวเด็กอยู่สูงกว่าลำตัวเล็กน้อย เพื่อให้นมไหลลงสู่กระเพาะสะดวก มืออีกข้างที่ถือขวดนมในกรณีให้นมผสมต้องเอียงขวดประมาณ 45 องศา และให้มีนมเต็มคอขวดประมาณ 45 องศา และให้มีนมเต็มคอขวดเสมอ
  3.การให้เด็กเรอ ควรทำทุกครั้งหลังให้นมเด็กไม่ว่านมแม่หรือนมผสม ไม่ควรลืมเพราะทำให้เด็กรู้สึกสบาย ไม่แน่นท้องเป็นการช่วยไล่ลมออกจากท้องเด็ก

การทำให้เด็กเรอ
 หลังจากเด็กดูดนมแล้ว ไม่ว่าเป็นนมมารดาหรือนมผสม ควรระวังให้เด็กเรอทุกครั้ง จุดประสงค์ในการทำให้เด็กเรอก็เพื่อไล่ลมออกจากท้องเด็ก เด็กจะได้ไม่อึดอัดหรือท้องอืด ควรทำเป็นระยะ ๆ ขณะเด็กดูดนมและหลังจากให้นมเสร็จแล้ว ทั้งนี้ อาจทำได้หลายวิธี คือ
  1.อุ้มเด็กขึ้นพาดบ่าให้ศีรษะวางบนไหล่ ตะแคงหน้าออกจากตัวมารดาหรือผู้อุ้ม หรืออาจให้คางเกยบนไหล่ แล้วลูบหลังเบา ๆ จะช่วยไล่ลมที่เด็กดูดเข้าไปขณะดูดนมออกมาได้ ก่อนอุ้มเด็กขึ้นพาดบ่า ควรหาผ้ารองที่บ่าเสียก่อนเพราะบางครั้งเด็กที่ดูดนมมาก ๆ อาจจะสำรอกเอานมที่ยังไม่ได้ย่อยออกมาเล็กน้อย ซึ่งไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ แต่จะทำให้เลอะเทอะเสื้อผ้าผู้อุ้มเด็กได้
  2.จับเด็กนั่งหลังตรง มือข้างหนึ่งพยุงศีรษะเด็กบริเวณคางและอก มืออีกข้างลูบหลังแต่เบา ๆ จนกว่าเด็กจะเรอ ระวังมือที่พยุงศีรษะและอกเด็ก ต้องจับให้ถนัด อย่าให้เด็กหลุดมือ และอย่ารัดตรงหน้าอกแน่น จะทำให้เด็กรู้สึกอึดอัดไม่สบาย และสำรอกเอานมออกมาได้

น้ำดื่มสำหรับเด็ก
 เด็กจะได้รับน้ำพร้อมกับนมที่กิน ถ้าเด็กกินนมได้เพียงพอ ไม่มีความจำเป็นต้องบังคับให้เด็กดื่มน้ำมาก ๆ นอกจากให้ตามหลังกินนม 2-3 อึก เพื่อล้างคราบนมในปากก็พอแล้ว เพื่อไม่ให้เด็กอิ่มน้ำแล้วทานนมได้น้อยลง น้ำที่ให้ควรเป็นน้ำต้มสุกที่ไม่ร้อน


ดูแลเจ้าตัวเล็ก
คลินิกเด็ก ดอท คอม

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561

วิธีลดอาการสำลักในเด็ก


   เพราะว่าเด็กๆ อยู่ในช่วงของการทำความรู้จัก และเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆ รอบตัว สิ่งหนึ่งที่ทารก มักทำอยู่เสมอในการสำรวจโลก ก็คือการนำของเข้าปาก และสำหรับผู้ปกครองแล้วคงไม่มีอะไรน่าหวาดหวั่น มากไปกว่าการได้เห็นลูกในวัยทารกต้องสำลัก หรือหายใจไม่ออกเนื่องจากมีเศษอาหาร หรือสิ่งของชิ้นเล็กติดคอ เพราะ ว่าเด็กไม่สามารถจะผงกศีรษะ หรือรู้จักเอาสิ่งของที่ติดอยู่ออกได้เอง นั่นจึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ที่จะทำให้หนูน้อยเกิดอาการสำลัก และขาดอากาศหายใจได้ในที่สุด
    ดังนั้น วิธีการที่ปลอดภัยที่สุดในการไม่ให้เด็กเกิดอาการสำลัก จึงต้องอยู่ที่การรู้จักป้องกัน โดยผู้ปกครองต้องหมั่นระมัดระวังสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก ตั้งแต่ลืมตาตื่นไปจนถึงยามหลับเลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น ควรหมั่นดูแลว่าที่นอนในเปลนั้นปูไว้เรียบแน่นดีแล้ว ทั้งไม่ควรนำเอาหมอนหรือของเล่นนุ่มนิ่มใส่ลงไปในเปลมากเกินความจำเป็น
    ในกลุ่มเด็กเล็กที่เริ่มเดินวิ่งได้แล้ว เมื่อจะป้อนอาหารก็ไม่ควรให้เด็กเดิน หรือวิ่งไปกินไปทั้งที่อาหารเต็มปาก และควรตัดอาหารเป็นชิ้นเล็กให้พอดีคำ กับต้องสอนเด็กให้รู้จักเคี้ยวอาหารให้ละเอียด สำหรับอาหารที่อยู่ในกลุ่มอันตราย ได้แก่ อาหารจำพวกฮอตดอก ลูกอม ถั่ว องุ่น แครอท และข้าวโพดคั่ว เป็นต้น เพราะอาหารในกลุ่มนี้ จะหลุดเข้าไปอุดหลอดลมเด็กได้ง่าย พึงระลึกไว้เสมอว่า อาการสำลักอาหารนั้นเกิดได้กับคนทุกช่วงวัย แต่สำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบแล้ว พวกเขาไม่สามารถช่วยตัวเองได้ จึงต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ.


ขอบคุณ
ไทยรัฐ
21 สิงหาคม 2548

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2561

ความสำคัญของวิตามิน


วิตามินเป็นสารอินทรีย์ที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับสารอาหารอื่นๆ แต่มีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย เช่น กระบวนการเผาผลาญอาหารเพื่อสร้างพลังงาน การเสริมสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ เพื่อการเจริญเติบโต การสร้างเม็ดเลือดแดง การแข็งตัวของเลือด การสร้างกระดูก การมองเห็น การทำงานของระบบประสาท และการสร้างภูมิต้านทานโรค เป็นต้น

วิตามินแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

1.วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบี1 บี2 บี3 บี5 บี6 บี9 บี12 ไบโอติน โคลีน และวิตามินซี วิตามินประเภทนี้ถูกทำลายด้วยความร้อนได้ง่าย ไม่สะสมในร่างกาย จึงต้องบริโภคอย่างสม่ำเสมอ หากร่างกายได้รับมากเกินไปจะถูกขับออกทางปัสสาวะและเหงื่อ

2. วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี เค วิตามินประเภทนี้ทนความร้อนได้ดี สามารถเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ จึงไม่จำเป็นต้องบริโภคทุกวัน หากได้รับในปริมาณมากเกินไป จะสะสมไว้ในไขมันของร่างกายและตับ ก่อให้เกิดพิษต่อร่างกายได้วิตามินส่วนใหญ่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ยกเว้นบางชนิด เช่น วิตามินดี แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จึงต้องบริโภคจากอาหาร ร่างกายต้องการวิตามินในปริมาณที่พอเหมาะในแต่ละวัน หากได้รับไม่เพียงพอติดต่อกันไปนานๆ จะทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติขึ้นได้ ความต้องการวิตามินในแต่ละวัน

 The Committee on Nutritional National Research Council ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เสนอคำแนะนำเกี่ยวกับปริมาณวิตามินที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน เรียกว่า Recommended Dietary Allowances เรียกย่อๆ ว่า RDA เป็นค่าที่แสดงถึงความต้องการวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารอื่นๆ ของคนที่มีสุขภาพปกติ โดยแบ่งตามความเหมาะสมของอายุและเพศ

ค่า RDA สำหรับวิตามินและแร่ธาตุมีประโยชน์มาก เนื่องจากใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาว่าปริมาณวิตามินและแร่ธาตุในอาหารที่ได้รับเพียงพอหรือไม่ และในกรณีที่จำเป็นต้องเสริมวิตามินหรือแร่ธาตุในรูปของอาหารเสริม ควรพิจารณาให้อีกเท่าไร

 Megavitamin Therapy
คือการใช้วิตามินในปริมาณตั้งแต่ 10 เท่าของ RDA ขึ้นไป การใช้วิตามินในปริมาณสูงๆ มาจากแนวความคิดที่ว่า แค่ปริมาณน้อยยังให้ประโยชน์มาก ยิ่งเพิ่มปริมาณก็น่าจะเพิ่มประโยชน์เป็นทวีคูณ ผู้ใช้มักมีความหวังว่าวิตามินจะช่วยรักษาความเจ็บป่วยที่แพทย์แผนปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลชะงัด เช่น โรคสมอง โรคมะเร็ง หอบหืด ปวดข้อ นอนไม่หลับ สิว และการชะลอความแก่ เป็นต้น

มีการกล่าวอ้างผลการทดลองในสัตว์ การศึกษาในกลุ่มคนจำนวนไม่มาก โดยใช้การทดลองที่ไม่ถูกต้องหรือไม่มีการควบคุมที่ดีพอ ทำให้การแปรผลมีความเอนเอียงได้ รวมถึงการกล่าวอ้างประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ป่วยที่หายจากโรคต่างๆ

 อย่างไรก็ตาม การใช้วิตามินในปริมาณสูงกว่าค่า RDA มากๆ ควรใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น และยังต้องคำนึงถึงผลข้างเคียง และพิษของวิตามินที่อาจเกิดขึ้นได้ สำหรับคนที่มีสุขภาพปกติและบริโภคอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับวิตามินและแร่ธาตุเสริมอีก

 หลักเกณฑ์การให้วิตามินเสริม
      1.ได้รับจากอาหารไม่เพียงพอ อาจเนื่องมาจากความยากจน การจำกัดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก การกินเจหรือมังสวิรัติ การเบื่ออาหารที่มักพบในผู้สูงอายุ การรับประทานอาหารประเภทเดียวนานๆ หรือรับประทานอาหารสำเร็จรูปบ่อยๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง

การขาดวิตามินเอ บี1 และบี2 มักเกี่ยวข้องกับความยากจนและขาดแคลนอาหารที่มีคุณค่า ส่วนอาหารที่ผู้สูงอายุรับประทานมักจะขาดวิตามินเอ ซี บี1 และโฟเลต

     2.ภาวะการดูดซึมสารอาหารบกพร่อง โรคที่ทำให้เกิดพยาธิสภาพในระบบทางเดินอาหารมีผลต่อการดูดซึมวิตามิน ความผิดปกติในการหลั่งหรือผลิตน้ำดีทำให้การดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันบกพร่อง โรคตับอ่อนมีผลต่อการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันและวิตามินบี12 เด็กคลอดก่อนกำหนดและเด็กน้ำหนักแรกคลอดต่ำจะดูดซึมวิตามินอีได้น้อย การอักเสบเรื้อรังของสำไส้จะทำให้ขาดวิตามินบี12 กรดโฟลิก และวิตามินที่ละลายในไขมัน

การใช้ยาบางชนิดก็มีผลต่อการดูดซึมวิตามิน ผู้ที่ใช้ยาต่อไปนี้เป็นประจำควรเสริมวิตามิน ได้แก่ ยาลดระดับไขมันในเลือด ยาระบายพาราฟิน ยาลดกรดที่ผสมเกลืออะลูมิเนียม เป็นต้น

     3.ความบกพร่องในการนำวิตามินไปใช้ประโยชน์ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความบกพร่องในการใช้วิตามินซี ผู้สูงอายุไม่สามารถใช้วิตามินบี1 ได้เท่าที่ควร โรคมะเร็งทำให้เกิดการขาดวิตามินได้ โรคตับทำให้เมตาบอลิซึ่มของกรดโฟลิกและวิตามินเอเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังมีโรคทางพันธุกรรมซึ่งทำให้เมตาบอลิซึ่มของวิตามินบางชนิดบกพร่อง แต่โรคดังกล่าวพบได้น้อยมาก

     4.การขับวิตามินออกจากร่างกายเพิ่มขึ้น อาจเนื่องมาจากการเป็นไข้เรื้อรัง และสภาวะที่ทำให้เกิดการสลายของเนื้อเยื่อ เช่น วัณโรคทำให้ร่างกายขับวิตามินบี2 และวิตามินเอมากขึ้น การฟอกไตเพิ่มการสูญเสียวิตามินซีและบี1 โรคไตเรื้อรังทำให้มีการสูญเสียวิตามินเอและดี

     5.การทำลายวิตามินเพิ่มขึ้น ยาบางชนิดมีผลข้างเคียงในการทำลายหรือลดปริมาณวิตามิน ผู้ป่วยโรคไตมีผลข้างเคียงในการทำลายหรือลดปริมาณวิตามินบี6 เนื่องจากสารที่คั่งค้างอยู่ในเลือดสามารถทำลายวิตามินบี6 ได้ นอกจากนี้การดื่มสุราและการสูบบุหรี่ก็ทำลายวิตามินเช่นกัน

     6.ความต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นไข้ การผ่าตัด การติดเชื้อ ไทรอยด์เป็นพิษ เป็นต้น เพื่อนำมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อและรักษาภาวะสมดุลในเลือด การออกกำลังกายเพิ่มจะมีความต้องการวิตามินบี2 และบี1 การอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น ร้อนเกินไปจะเพิ่มความต้องการวิตามินซี หรือในสตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร จำเป็นต้องได้รับสารอาหารทุกชนิดเพิ่มขึ้น รวมทั้งวิตามิน

ขอบคุณ
เอมอร คชเสนี
สภาพสุข สุขภาพ
ผู้จัดการ
29 มิถุนายน 2549

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561

ความต้องการของสารไอโอดีนตอนคุณแม่ตั้งท้อง


"ไอคิวเด็กไทยต่ำกว่าระดับสากล แม่ขาดสารไอโอดีนตอนตั้งท้อง"

    นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ไอโอดีนเป็นสารที่มีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์สมองของเด็กทำให้เด็กมีไอคิวหรือสติปัญญาดี หากแม่ขาดสารไอโอดีนระหว่างตั้งครรภ์ จะทำให้ลูกปัญญาอ่อน ซึ่งสามารถเห็นอาการชัดเจนได้ ประมาณร้อยละ 1-10 ของเด็กที่เป็นเท่านั้น อีกร้อยละ 5-30 จะเกิดปัญญาทึบ ที่เหลืออีกร้อยละ 70 จะออกมาในรูปของการเฉื่อยชา เกียจคร้าน อ่อนแรง จากการสำรวจการใช้เกลือครั้งล่าสุดในปี 2549 พบมีครัวเรือนเพียงร้อยละ 59 ใช้เกลือเสริมไอโอดีนปรุงอาหาร ในจำนวนนี้ใช้เกลือเสริมไอโอดีนที่มีคุณภาพคือ มีสารไอโอดีนในปริมาณกำหนดคือ 30 ส่วนในเกลือ 1 ล้านส่วนหรือ 30 พีพีเอ็ม (30 ppm) เพียงร้อยละ 54 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกกำหนด คือต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 จึงทำให้หญิงตั้งครรภ์ไทยร้อยละ 50 หรือประมาณ 400,000 คน ได้รับไอโอดีนไม่ เพียงพอ เสี่ยงคลอดลูกเป็นเอ๋อ หรือปัญญาอ่อน “ขณะนี้ค่าเฉลี่ยระดับเชาวน์ปัญญาหรือไอคิวเด็กสากลกำหนดไว้คือ 90-110 จุด แต่ไอคิวของเด็กไทยประเมินในรอบ 5 ปีมานี้ได้แค่ 88 จุด จึงน่าห่วงมาก หากดูในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่ขาดไอโอดีนแล้ว ประเทศไทยจะมีเด็กคลอดใหม่เสี่ยงต่อ การมีสติปัญญาด้อยหรือไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานประมาณ 400,000 คน” นพ.ณรงค์ศักดิ์กล่าว นพ.ณรงค์ศักดิ์กล่าวถึงสาเหตุที่เกลือเสริมไอโอดีนยังไม่ได้คุณภาพ มาจากการผลิตเกลือ ซึ่งมีผู้ผลิตเกลือจำนวนมาก ดังนั้น หากแม่บ้านจะซื้อเกลือทุกครั้ง ขอให้มั่นใจว่าเป็นเกลือเสริมไอโอดีนโดยดูที่ฉลากที่เขียนไว้บนหน้าซองว่า มีส่วนผสมของสารไอโอดีนเท่านั้น.

-----------------------------------------------------------------------
ที่มา: ไทยรัฐ
13 เมษายน 2550


วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2561

วัคซีนรวม


    การตัดสินใจเพื่อเลือกใช้วัคซีนรวมแต่ละชนิดควรเป็นการพิจารณาร่วมกันระหว่างแพทย์และพ่อแม่ การฉีดวัคซีนแยกแต่ละชนิดทำให้เด็กจับตัวหลายครั้งหรืออาจต้องมาพบแพทย์มากครั้งขึ้น แต่เมื่อมองในเรื่องค่าใช้จ่ายอาจจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า โดยเฉพาะหากรับบริการในโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งจะไม่คิดค่าใช้จ่ายอาจจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า โดยเฉพาะหากรับบริการในโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งจะไม่คิดค่าใช้จ่ายสำหรับวัคซีนพื้นฐาน

    อย่างไรก็ตาม วัคซีนรวมกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากความสะดวกและช่วยให้เด็กเจ็บตัวน้อยครั้ง สิ่งเหล่านี้ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและในบางครั้งอาจได้วัคซีนบางชนิดโดยไม่จำเป็น ในปัจจุบันวัคซีนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคติดเชื้อเป็นอย่างมาก เนื่องจากเชื้อที่ทำให้เกิดโรคมีการดื้อต่อยาด้านจุลชีพที่ใช้ในการรักษา ขณะเดียวกันการพัฒนายาด้านจุลชีพชนิดใหม่ก็ยังมีข้อจำกัดหลายประการ วัคซีนจึงได้รับความสนใจและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง วัคซีนที่ใช้แพร่หลายในเด็กมีมากกว่าสิบชนิด และวัคซีนบางชนิดยังต้องฉีดหลายครั้ง

    ดังนั้นการให้วัคซีนแต่ละชนิดในเด็กคนหนึ่งจนครบกำหนด จะต้องฉีดจำนวนหลายสิบครั้ง จึงได้มีการพัฒนาเพื่อรวมวัคซีนหลายชนิดเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถลดจำนวนการฉีดและจำนวนครั้งที่มาพบแพทย์ลงได้ โดยเริ่มจากการรวมวัคซีน 2-3 ชนิดเข้าไว้ด้วยกันก่อน ต่อมาจึงทำการรวมวัคซีน 4, 5 และ 6 ชนิดตามมา การเลือกใช้วัคซีนรวมมีข้อควรคำนึงหลายประการ จึงควรพิจารณาข้อมูลให้ถ่องแท้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ข้อดีของวัคซีนรวม
1. สามารถลดจำนวนครั้งของการฉีด ทำให้เด็กกลัวน้อยลงเพราะเจ็บครั้งเดียวได้รับวัคซีนหลายชนิด
2. สามารถลดจำนวนครั้งของการมาพบแพทย์ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และเป็นการประหยัดเวลาของผู้ปกครอง
3. ความร่วมมือในการมารับวัคซีนดีขึ้น ทำให้เด็กได้รับวัคซีนครบตามกำหนดมากขึ้น
4. ความยุ่งยากในการฉีดวัคซีนลดลง

ตัวอย่างวัคซีนรวมที่มีใช้ในปัจจุบัน
1.คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ชนิดเต็มเซลล์ (DTwP)
2.คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ชนิดเต็มเซลล์ ฮิบ ตับอักเสบบี (DTwP+HIB+HBV) ชื่อวัคซีนที่มีจำหน่ายในไทยคือ Quinvaxem
3.ตับอักเสบเอ+ตับอักเสบบี (HAV+HBV) ชื่อวัคซีนที่มีจำหน่ายในไทยคือ Twinrix
4.คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน โปลิโอ (DTaP+IPV) ชื่อวัคซีนที่มีจำหน่ายในไทยคือ Tetraxim, Infanrix-IPV
5.คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ชนิดไม่มีเซลล์ โปลิโอชนิดฉีด ฮิบ (DTaP+IPV+HIB) ชื่อวัคซีนที่มีจำหน่ายในไทยคือ Pentaxim, Pediacel, Infanrix-IPV-HIB
6.คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ชนิดไม่มีเซลล์ โปลิโอชนิดฉีด ฮิบ ตับอักเสบบี (DTaP+IPV+HIB+HBV) ชื่อวัคซีนที่มีจำหน่ายในไทยคือ Hexaxim, Infanrix-Hexa
7.คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ชนิดไม่มีเซลล์ (dTap or Tdap) ชื่อวัคซีนที่มีจำหน่ายในไทยคือ Boostrix, Adacel
8.คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ชนิดไม่มีเซลล์ โปลิโอชนิดฉีด (dTap or Tdap + IPV) ชื่อวัคซีนที่มีจำหน่ายในไทยคือ Boostrix-IPV, Adacel-Polio
9.คอตีบ บาดทะยัก (dT ผู้ใหญ่)
10.หัด หัดเยอรมัน คางทูม (MMR)

ข้อจำกัดของวัคซีนรวม
1. การให้วัคซีนหลายชนิดในเวลาเดียวกัน อาจก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคบางชนิดต่ำกว่าวัคซีนแบบแยกฉีด อย่างไรก็ตาม ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นก็ยังสูงเพียงพอในการป้องกันโรคได้
2. ปฏิกิริยาจากวัคซีนอาจพบเพิ่มขึ้น แต่ไม่เสมอไป
3. วัคซีนมีราคาแพง
4. อาจทำให้เด็กได้รับวัคซีนบางอย่างมากเกินไป เช่น ถ้าใช้วัคซีนรวม 6 ชนิดที่มีวัคซีนตับอักเสบบีรวมอยู่ด้วย และฉีดให้เด็กที่อายุ 2, 4 และ 6 เดือน จะทำให้เด็กได้รับวัคซีนตับอักเสบบีเกินหนึ่งครั้งที่อายุ 4 เดือน แต่ไม่มีผลเสียใด ๆ นอกจากทำให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
5. อาจก่อให้เกิดความสับสน กรณีใช้วัคซีนจากหลายบริษัท


ขอบคุณ
ที่มา: คลินิกเด็ก ดอท คอม

จาก หนังสือ ” วัคซีน….น่ารู้”
สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน (สิงหาคม 2558) โดย นพ. ประสงค์ พฤกษานานนท์

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2561

อุปกรณ์ของเล่นและเกมต่าง ๆ สำหรับเด็กวัย 1 – 3 ปี

เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษวัย 1 – 3 ปี

     1. บล็อกขนาดต่าง ๆ ประมาณ 5-6 ชิ้น อาจทำด้วยไม้ , พลาสติก หรือกระดาษแข็ง หรือเครื่องเล่น Lego หรืออาจใช้กล่องสบู่ ,กล่องนมแทน ซึ่งสามารถวางต่อกัน หรือวางซ้อนกัน เพื่อฝึกทักษะการจับวาง , การวางซ้อน , การวางเรียง ฝึกทักษะการใช้มือ และตา ประสานกัน , ฝึกการกะระยะ. ฝึกการสังเกต ฝึกความคิดเปรียบเทียบขนาดต่าง ๆ ของวัตถุ
      2. กระดาน ค้อนตอก อาจทำด้วยไม้ หรือพลาสติกเพื่อฝึกทักษะการใช้มือ ,ข้อมือ ,และท่อนแขน ตลอดทั้งการทำงานประสานงานกันระหว่างมือกับตา ฝึกการกะระยะ ทำให้เด็กได้เรียนรู้ถึงการใช้อุปกรณ์ของเล่นในการตอก
     3. ของเล่นเป็นชิ้นที่มีขนาดต่างๆกัน ใหญ่บ้างเล็กบ้าง หรือยาวบ้างสั้นบ้าง , อาจทำด้วยไม้หรือ พลาสติก เพื่อฝึกทักษะการใช้กล้ามเนื้อ มือ ,สังเกตรูปร่าง และขนาด และรู้จักการเรียงขนาดเป็นระบบ เช่น เรียงตามลำดับจากเล็กไปใหญ่ หรือจากสั้นไปยาวโดยเด็กสามารถเรียนรู้การจัดวางรูป ขนาดเป็นชั้นต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
     4. ของเล่นที่ทำให้เกิดเสียง เช่น กล่องดนตรี , ของเล่นที่จับเขย่า , เคาะมีเสียง หรือ เครื่องดนตรีประเภทKeyboard ,กรับพวง ฯลฯ เพื่อฝึกความสนใจฟังเสียงต่าง ๆ จากเครื่องดนตรี และสนุกสนาน ฝึกสมาธิและความสนใจ ตลอดทั้งฝึกการใช้มือ นิ้วมือ ในการกด , เคาะ หรือตี
     5.บอลผ้า / ลูกบอลพลาสติกยาง หรือแป้นหลักใส่ห่วง เพื่อฝึกการกะระยะใช้สายตาประสานกับ มือ – แขน ในการโยน, กลิ้ง , ปา ลงเป้าหมาย (อาจเป็นบุคคล หรือ ตะกร้า หรือ ลัง ) ได้คล่องแคล่ว แม่นยำ
     6.ของลากจูง เช่น สัตว์ต่าง ๆ , รถ ,เรือ ,รถไฟ มีเชือกร้อยให้เด็กลากจูง เพื่อฝึกความคล่องแคล่วของการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ในการเดินหรือวิ่งลากจูงของเล่นไป-มาอาจจะเคลื่อนไหวช้า – เร็ว แล้วแต่ความสามารถและความสนใจของเด็กแต่ละคน
     7.อุปกรณ์เล่นทราย เช่น พลั่ว ,ช้อน ,ถังพลาสติก ใช้เล่นกับทราย หรือ ข้าวสารย้อมสี หรือ เม็ดถั่วต่าง ๆ เพื่อฝึกการใช้มือ,นิ้วมือ ,แขน และการทำงานประสานกันระหว่างมือ และ ตา ตลอดทั้งทักษะทางสังคมในการแบ่งปัน การให้ – รับ (Turn – Taking) ระหว่างบุคคลอื่นอาจดัดแปลงใช้กับอุปกรณ์ในครัวเรือนได้เช่น ช้อน, จาน, ถ้วย
     8. หนังสือรูปภาพ อาจทำด้วยกระดาษแข็งอย่างดี ,ทำด้วยผ้า , ทำด้วยพลาสติกรวมทั้ง โปสเตอร์ภาพสัตว์ต่าง ๆ และอื่น ๆเพื่อฝึกการใช้มือ นิ้วมือ ข้อมือ ในการพลิกหน้าหนังสือ และใช้นิ้วชี้รูปภาพต่าง ๆ ตลอดทั้งทักษะด้านความเข้าใจภาษา และการพูด
     9. ภาพตัดต่อ (Jigsaw) ควรมีจำนวน 3 – 6 ชิ้น อาจทำด้วยพลาสติก ,ไม้ , กระดาษแข็งอย่างดีเพื่อฝึกให้เด็กสังเกต , เปรียบเทียบ ฝึกการคิดแบบบูรณาการ(ภาพรวม) ,ฝึกการจำ โดยการนำชิ้นส่วนของภาพมาต่อเรียงกัน เพื่อเกิดภาพได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจ เสริมสร้างความรู้สึกทีดีต่อตัวเอง(Self – esteem)
     10. สีเทียน , สีเมจิกแท่งใหญ่ ขีดเขียนบนกระดาน หรือกระดาษเพื่อใช้ขีดเขียน ในลักษณะที่ไม่เป็นรูปร่างใด ๆ ทั้งสิ้น เด็กจะขีดเขียนเอง และสร้างสรรค์จินตนาการของตัวเอง โดยเด็กเริ่มจับดินสอในลักษณะของมือกำ ต่อมาจึงจับในลักษณะของการใช้นิ้วมือได้ในที่สุด และเริ่มเขียนแบบมีรูปร่างทางเรขาคณิตมากขึ้น คือ ขีดเส้นตรง และวงกลม เพื่อฝึกทักษะการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อนิ้วมือ ข้อมือ และท่อนแขน ตลอดทั้ง ฝึกการคิดจินตนาการต่าง ๆ
     11.ของเล่น Pop – Up ที่เป็นรูปสัตว์ เพื่อฝึกการทำงานของนิ้วมือ , มือ ในการกด ,หมุน ,บิด , ดึง ตลอดทั้งสร้างเสริมทักษะของพัฒนาการทางภาษา ในด้านความเข้าใจ และการพูด รวมทั้งสร้างความสนใจ และสร้างสมาธิ
     12. เกมวาดรูปจากนิ้วมือ (Finger Painting) อาจใช้สีน้ำ , สีโปสเตอร์ หรือกาวน้ำ / แป้งเปียกผสมสี เกมนี้เพื่อกระตุ้นการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้แก่ นิ้วมือ , มือ ตลอดจนการประสานงานของตาและมือ สามารถกระตุ้นความสนใจ,สร้างสมาธิในขณะทำกิจกรรม และฝึกงานด้านความคิดสร้างสรรค์ โดยให้เด็กใช้นิ้ว หรือมือในการละเลงสีน้ำ ,สีโปสเตอร์ ,สีแป้งเปียก ลงบนกระดาษหรือกระดาน
     13. เกมจำจี้มะเขือเปาะ เพื่อฝึกการสร้างความสัมพันธ์ กับบุคคลอื่น ๆ โดยผู้ใหญ่ หรือเด็กจะเป็นผู้นำเกม ใช้นิ้วจิ้มลงบนนิ้วมือของผู้เล่นทีละนิ้ว พร้อมกับร้องเพลง “จ้ำจี้มะเขือเปาะ” เป็นการฝึกการฟัง สร้างความสนใจ และการมีสมาธิในการเล่นกิจกรรม ตลอดทั้งได้รับการเสริมทักษะพัฒนาการด้านภาษา และรู้จักกติกาอย่างง่ายในการเล่น

หมาน้อยบล็อกหยอด


ขอบคุณ
อ้างอิง: clinicdek. com

ฉลองเปิดเพจใหม่ ของเล่นลดราคามากมาย



เชิญติดตามไปที่ร้านค้าเพจได้เลยจ้า



วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์ง่ายๆสำหรับเด็กที่กำลังจะถึง 1 ปี

ตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์ง่ายๆสำหรับเด็กที่กำลังจะถึง 1 ปี 
(Chapter 2)

   1.วงแหวนที่มีลักษณะพื้นผิวแตกต่างกัน อาจเป็น พลาสติกแข็ง , ยางนิ่ม หรือผ้า ฯลฯ
   เด็กวัยนี้มักนำของเล่นเข้าปาก ใช้ปากในการดูด อม เลีย ใช้เหงือกย้ำ กัดเล่น เพื่อฝึกความแข็งแรงของเหงือก และยังอาจสามารถลดอาการเจ็บขณะที่ฟันของเด็กวัยนี้กำลังขึ้นได้ โดยนำวงแหวนพลาสติกยางไปแช่ตู้เย็น ความเย็นจากยางจะลดอาการเจ็บได้ขณะที่เด็กกัดเล่น
   2. โมบายพวงวัสดุที่เป็นรูปสัตว์ หรือดอกไม้ ที่มีสีสันสดใส แขวนไว้ที่หัวเตียงหรือเปล ซึ่งอาจมีเสียงดนตรีประกอบด้วย เพื่อฝึกการใช้สายตาในการมองวัตถุขณะเคลื่อนไหว ขณะที่เด็กนอนเล่นอยู่บนเตียง แขวนโมบายอยู่เหนือศีรษะเด็กเพื่อให้เด็กได้ใช้สายตามองดูขณะของเล่นแกว่งไปมา เด็กจะสนใจมองดูการเคลื่อนไหวของวัตถุ และยังสามารถฝึกการฟังเสียงดนตรีของเครื่องเล่นอีกด้วย
   3. ตุ๊กตายางผิวหยาบหรือนิ่ม อาจทำจากผ้าหรือพลาสติกยางซึ่งอาจบีบมีเสียง / ไม่มีก็ได้ เพื่อฝึกคว้าจับและ สัมผัส โดยใช้ของเล่นที่มีพื้นผิวสัมผัสที่ต่างกัน เด็กวัยนี้ชอบจับสัมผัส ลูบ คลำ บีบเล่น หรือโยนเล่น กลิ้งเล่น และฝึกการฟังเสียง ต่างๆกันของของเล่นขณะบีบ เขย่า เคาะ ตลอดทั้งฝึกจับของเล่นเปลี่ยนมือได้อีกด้วย
   4.เครื่องเขย่าให้เกิดเสียงได้แก่ กรุ๋งกริ้ง ,กระดิ่ง ซึ่งอาจมีขนาดและน้ำหนักที่แตกต่างกัน ตามความเหมาะสมของเด็กแต่ละคน เพื่อฝึกกล้ามเนื้อมือในการจับและคว้าของเล่น ฝึกการฟังเสียงของของเล่นที่มีความแตกต่างกัน เด็กวัยนี้ชอบคว้า จับ เขย่า เคาะ ของเล่นเพื่อให้เกิดเสียงต่าง ๆ รวมทั้งสามารถกระตุ้นให้เด็กได้สนใจมองขณะที่เด็กมีกิจกรรมในการจับเขย่า เคาะเล่นอีกด้วย
   5.กระจกเงา เพื่อฝึกการมองและการสังเกต การเคลื่อนไหวของหน้าตา และท่าทางขณะมองเล่นเด็กวัยนี้มักชอบมองเงาตัวเอง และสิ่งอื่น ๆ ในกระจก
   6. ของเล่นไขลาน เช่น ลูกเป็ด ลูกไก่ และอื่น ๆซึ่งอาจมีเสียงดนตรีประกอบ ขณะที่ของเล่นไขลานเคลื่อนไหว เด็กสนใจและมองตามการเคลื่อนไหวของของเล่นเหล่านั้น ตลอดทั้งกระตุ้นให้เด็กเกิดการเคลื่อนไหวตัวเองอีกด้วย เช่น เด็กอาจจะคืบ , คลาน หรือ เกาะเดิน , เหนี่ยวตัวลุกยืน เกาะยืน เพื่อให้ได้ของเล่นเหล่านั้น
   7. วัสดุรูปทรงเรขาคณิต อาจเป็นผ้า ,กล่องสีต่าง ๆ ,ก้อนไม้ หรือ ก้อนพลาสติกที่มีขนาดต่างกัน
เพื่อฝึกการสังเกตรูปร่าง รูปทรง และจับกำ ซึ่งภายในกล่องสีต่าง ๆ อาจใส่เม็ดถั่ว / เม็ดพลาสติก ไว้ข้างในได้ เมื่อเด็กเขย่า / เคาะ แล้วเกิดเสียง เพื่อกระตุ้นการฟัง และความสนใจของเด็กในขณะเล่น ของเล่นมากขึ้น
   8. หมุดหรือไม้สี ซึ่งมีขนาดใหญ่ อาจทำด้วยไม้หรือ พลาสติก พร้อมกระดานมีรู เพื่อเสริมสร้างการใช้ปลายนิ้ว ในการหยิบ หรือยัดนิ้วใส่ลงในรู หรือในช่องที่เจาะไว้บนกล่อง เด็กวัยนี้เริ่มใช้ปลายนิ้ว หยิบ หรือใช้นิ้วยัดใส่รู หรือช่องที่เจาะไว้


 ของเล่นเด็ก

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ตัวอย่างเก่มง่ายๆสำหรับเด็กที่กำลังจะถึง 1 ปี

ตัวอย่างเก่มง่ายๆสำหรับเด็กที่กำลังจะถึง 1 ปี (Chapter 1)

พ่อแม่หรือผู้ปกครองสามรถเล่นกับลูกๆได้ง่ายๆ และมีประสิทธิภาพมาก

เกมจ๊ะเอ๋ 
   เกมนี้เพื่อฝึกให้เด็กรู้จักการค้นหาวัตถุที่หายไป ตลอดทั้งฝึกความสนใจ ,สมาธิในการฟังจังหวะของเสียง และยังเป็นการเสริมสร้างปฎิสัมพันธ์ ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ด้วย โดยผู้ใหญ่อาจใช้มือ , ผ้า หรือกระดาษปิดหน้าตัวเอง หรือปิดหน้าเด็ก และเมื่อเปิดมือ ผ้า หรือกระดาษออกพร้อมกับพูดคำว่า “จ๊ะเอ๋” ซึ่งน้ำเสียงที่ใช้ควรจะเร้าอารมณ์เด็กให้เกิดความสนุกสนานด้วย ซึ่งเด็กจะมองหาหน้าผู้ใหญ่ที่หายไปในขณะเล่น

เกมปูไต่
   เกมนี้เพื่อฝึกให้เด็กได้รับการฟังเสียง ฝึกความสนใจ มีการจับจ้องมองหน้าแม่ ตลอดทั้งได้รับรู้ถึงการสัมผัสจากวัตถุที่มีความแตกต่างกันของพื้นผิว สร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก รวมถึงพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดีของเด็กด้วย โดยผู้ใหญ่ใช้ปลายนิ้ว หรือของเล่น หรือวัสดุที่มีพื้นผิวต่าง ๆ กัน เช่น ผ้า , ฟองน้ำ , ตุ๊กตายางไล้ไปบนผิวเด็กในทุกจุดของร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ขณะเล่นเกมผู้ใหญ่ควรพูดคุย หัวเราะ และยิ้ม สร้างบรรยากาศให้เด็กสนุกสนานไปด้วย ตลอดทั้งจุดต่าง ๆ ที่ลูบไล้ / สัมผัสไปบนผิวเด็ก ควรบอกให้เด็กได้รับรู้ด้วย เช่น “แม่กำลังลูบไล้มือของลูกนะ” อาจร้องเพลงขณะเล่นปูไต่ด้วยก็ได้

เกมจับปูดำ
   เกมนี้เพื่อฝึกกล้ามเนื้อมือในการเปิด – ปิดมือหรือกำ – แบมือ ตลอดทั้งเด็กเริ่มสามารถเลียนแบบท่าทางกำมือ แบมือจากพ่อแม่ในขณะเล่นเกมนี้ โดยขณะเล่นผู้ใหญ่ควรร้องเพลง “จับปูดำขย้ำปูนา จับปูม้า มาคว้าปูทะเล”ร่วมด้วย เด็กจะเกิดความสนุกสนาน และสร้างเสริมการมี ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกด้วย รวมทั้งเป็นการฝึกการฟัง ความสนใจ และสมาธิให้กับเด็กอีกด้วย

เกมตบมือเปาะแปะ
   เกมนี้เพื่อฝึกการทำงานของกล้ามเนื้อมือทั้ง 2 ข้าง และเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในขณะเล่นด้วย ตลอดทั้งให้เด็กฝึกฟังจังหวะในขณะตบมือ และเพิ่มความสนุกสนานให้กับเด็กอีกด้วย โดยผู้ใหญ่จับมือเด็กมาตบมือกันหรือ เด็กตบมือเอง เมื่อผู้ใหญ่กระตุ้นให้เด็กทำตาม อาจใช้คำกลอน หรือ เพลงที่เกี่ยวข้องกับการตบมือมาประกอบด้วยก็ได้

เกมค้นหาของเล่น
   เกมนี้เพื่อฝึกให้เด็กได้รู้จักใช้ความคิดในการแก้ปัญหาอย่างง่าย ในการค้นหาของเล่น ซึ่งผู้ใหญ่อาจช่วยชี้แนะได้บ้าง เพื่อให้เด็กเกิดความรู้สึกถึงความสำเร็จในการทำงาน ตลอดทั้งเด็กได้รับการฝึกประสบการณ์เรื่องการคงอยู่ของวัตถุ (Object Permanent) โดยผู้ใหญ่ใช้ผ้าหรือกระดาษปิดของเล่นในขณะที่เด็กเล่นอยู่ อาจจะปิดบางส่วน หรือปิดทั้งหมดของของเล่นก็ได้ ซึ่งเด็กจะพยายามค้นหาของเล่นโดยการดึงผ้า หรือกระดาษออก

วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

วิธีฝึกทักษะทางภาษาให้ทารก

วิธีฝึกทักษะทางภาษาให้ทารก

     เมื่อลูกอายุได้ครบขวบจะเริ่มมีพัฒนาการทางการพูดได้มาก ซึ่งพ่อแม่สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาให้ลูกได้ โดย...
1. หมั่นพูดให้ลูกฟังเป็นตัวอย่าง เพราะลูกจะเรียนรู้และจดจำจากการพูด การออกเสียงของพ่อแม่   
2. อย่าบังคับ ถ้าอยากฟังลูกพูดคำแรก อย่าปฏิเสธที่จะให้ของที่เขาต้องการ ถึงจะยังไม่สามารถบอกชื่อของสิ่งนั้นได้ก็ตาม
3. พูดคุยกับลูก เพราะธรรมชาติในการเรียนรู้ที่จะพูด ต้องเริ่มมาจากการฟังก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงเกิดการเลียนแบบออกเสียงตาม
4. อ่านหนังสือให้ลูกฟังเพื่อเป็นการกระตุ้น ลูกจะมองหน้าพ่อแม่เวลาที่อ่านพร้อมทั้งฟังไปด้วย เป็นกลยุทธ์ให้เขาสนใจที่จะพูดได้บ้าง
5. แสดงความสนใจเมื่อลูกเริ่มอ้อแอ้ๆ เพราะเขามีความต้องการในการสื่อสารและอยากให้เราฟังเขาพูดบ้างเหมือนกัน พยายามแสดงออกว่าคุณตั้งใจอยากฟังที่เขาพูดด้วย
6. หมั่นร้องเพลงและพูดคำที่มีจังหวะคล้องจอง อย่างเพลงหรือกลอน จะช่วยให้ลูกรู้สึกสนุกที่จะฟัง ทำให้จดจำ และอยากพูดได้บ้าง



ขอบคุณ
ที่มา: rakluke.com


ศิลปะกับพัฒนาการเด็ก

ศิลปะกับพัฒนาการเด็ก

     เด็กๆทุกคนล้วนมีวิญญาณของศิลปินน้อยอยู่ในตัว การวาดรูประบายสีจึงเป็นกิจกรรมสุดเพลิดเพลินเกินห้ามใจสำหรับเด็กๆ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่คงจะสังเกตเห็นกันอยู่บ่อยๆ ว่าลูกน้อยแสนซนของเราสามารถสงบนิ่งและมีสมาธิได้เป็นเวลานานๆเมื่อมีดินสอ พร้อมกระดาษและสีเทียนอยู่ในมือ
     แต่นอกเหนือไปจากความสนุกสนานเพลิดเพลิน ศิลปะยังแฝงไปด้วยประโยชน์หลากหลายต่อพัฒนาการและทักษะด้านต่างๆ ของเด็กๆ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ พัฒนาการทางด้านร่างกาย การระบายสี การขีดเขี่ย รวมถึงการวาดรูป ล้วนมีส่วนช่วยในการพัฒนากล้ามเนื้อมือทั้งมัดเล็กและมัดใหญ่ (Motor skill) และเป็นการฝึกการทำงานที่สัมพันธ์กันระหว่างมือกับตา ซึ่งในช่วงแรกๆ เด็กๆ จะยังไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อมือเหล่านี้ได้ดีนัก น้องอาจจะระบายออกนอกเส้นบ้าง แต่เมื่อฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง พร้อมไปกับวัยที่เติบโตขึ้นเด็กๆก็จะสามารถวาดและควบคุมทิศทางการระบายได้ดีขึ้น
     มากไปกว่านั้นการทำงานศิลปะก็เปรียบเสมือนประตูเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ในวัยที่จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์กำลังเบ่งบาน ศิลปะคือช่องทางในการถ่ายทอดและสื่อสารซึ่งความคิดที่เค้าไม่สามารถสื่อสารออกมาทั้งหมดด้วยคำพูดหรือการเขียน และเป็นการเปิดโอกาสให้เค้าได้ต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการลงบนพื้นที่ที่ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด รวมถึงได้พัฒนาทักษะในการแก้ไขปัญหาต่างๆในระหว่างทำงานศิลปะอีกด้วย
     ศิลปะยังช่วยพัฒนาสมาธิ อารมณ์ การมองโลกในแง่บวก ช่วยให้น้องๆได้เรียนรู้ถึงความสุนทรีย์ และรู้จักชื่นชมความสวยงามของสิ่งต่างๆ นอกจากนี้การที่ ศิลปะ ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเองซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเข้าสังคมให้กับเด็กๆ
 
  แต่ทั้งนี้เด็กในแต่ละช่วงวัยก็จะมีความสามารถในการขีดเขียนและทำงานศิลปะที่แตกต่างกันซึ่งเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจ เพื่อจะได้ส่งเสริมให้ถูกต้องสอดคล้องไปกับช่วงวัยและพัฒนาการ โดยวิคเตอร์ โลเวนเฟลด์ (Victor Lowenfeld) นักการศึกษาศิลปะ ชาวอเมริกัน ได้แบ่งขีดความสามารถทางศิลปะตามอายุของเด็กไว้ดังนี้

อายุ 0-2 ปี เด็กจะใช้ประสาทสัมผัสรับรู้เกี่ยวกับศิลปะ ด้วยการดู การฟัง การรับรสและสัมผัสกลิ่น
อายุ 2 – 4 ปี เป็นขั้นขีดเขี่ย (Scribbling Stage) เด็กๆจะเริ่มใช้อุปรณ์ทางศิลปะ เล่น ขูด เขี่ย ลาก วาดแบบไม่มีความหมาย และเป็นเพียงแค่การทำเพื่อความสนุกสนาน
อายุ 4 – 7 ปี เป็นขั้นก่อนมีแบบแผนหรือขั้นเริ่มต้นเขียนภาพให้มีความหมาย (Pre-schematic Stage) น้องๆ จะเริ่มวาดให้เข้าใจด้วยการแทนค่าเป็นสัญลักษณ์ น้องบางคนจะสามารถสื่อถึงความหมายได้โดยการบอกเล่าแต่ลักษณะการวาดจะเป็นรูปที่ยังไม่เหมือนจริง
อายุ 7 – 9 ปี เป็นขั้นของการใช้สัญลักษณ์หรือขั้นเขียนภาพได้คล้ายของจริง (Schematic Stage) ซึ่งเด็กเริ่มจะสามารถวาดรูปคล้ายจริงได้หรือลอกแบบตามสิ่งที่เห็น
ความสามารถในเรื่องการวาดรูปของเด็กจะมีการพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอนอย่างค่อยเป็นค่อยไปสอดคล้องไปกับวัยของเด็ก แต่ในเรื่องการระบายสีนั้น สามารถส่งเสริมให้กับเด็ก ๆ ได้ตั้งแต่ยังเล็ก โดยอาจเริ่มที่การบอกชื่อของสีวัตถุต่างๆ ที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะทำให้เด็กๆ เริ่มเรียนรู้และสามารถจดจำสีต่าง ๆ ได้ แล้วจึงค่อยเริ่มพัฒนากล้ามเนื้อมือมัดเล็กและมัดใหญ่ผ่านการระบายสีในขนาดพื้นที่ที่เล็กใหญ่แตกต่างกัน

     ศิลปะนั้นเป็นทักษะที่ต้องการฝึกฝนและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การชื่นชมและให้กำลังใจของคุณพ่อคุณแม่ จะเป็นการสร้างรากฐานแห่งความมั่นใจให้กับเด็กๆว่าทำออกมาได้ดีและถูกต้อง จนเกิดความคุ้นเคย และเป็นแรงส่งเสริมให้เด็กๆกล้าที่จะทำและคิดสร้างสรรค์ต่อไปจนเป็นลักษณะนิสัยที่ติดตัวไปในอนาคต


ขอบคุณ
ที่มา: th.globalart.world

ความหมายและประโยชน์ของการเล่น

ความหมายของการเล่น

     การเล่นเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ และเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กเกิดการรับรู้ที่ดี ตลอดทั้งให้เด็กได้เรียนรู้ ตัวเองและบุคคลอื่นโดยไม่รู้ตัว  และนอกจากนี้ การเล่นยังมีผลต่อพัฒนาการทางสมอง และระบบประสาทอีกด้วย

ประโยชน์ของการเล่น
1. ช่วยเสริมสร้างให้เด็กมีพัฒนาการในทุกด้าน
2. ช่วยเสริมสร้างการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
3. ช่วยพัฒนาด้านสติปัญญา เสริมสร้างจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
4. ช่วยพัฒนาความสามารถในด้านการสื่อสาร โดยเฉพาะคำศัพท์
5. ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง
6. ช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีทางสังคม เช่น การแบ่งปัน (sharing) การผลัดเปลี่ยน (turn taking) การช่วยเหลือ (co-operation) การอดทนต่อการรอคอย ความยืดหยุ่น (flexibility)
7. ช่วยเสริมสร้างให้เด็กรู้จักตนเองได้ดีขึ้นซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จที่ได้กระทำ
8. ช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตและอารมณ์ที่ดี
9. ช่วยพัฒนาและส่งเสริมบทบาททางเพศ และบทบาทสมมุติ
10. ช่วยพัฒนาและเสริมสร้างความสนใจและสมาธิ

ขอบคุณ
ที่มา: clinicdek.com

 ของเล่นเด็ก goodtoysbaby

วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

การเล่นพัฒนาอัจฉริยภาพของลูกน้อย

การเล่นพัฒนาอัจฉริยภาพของลูกน้อย

     การเล่นเป็นธรรมชาติของเด็กทุกคน  การเล่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็ก เป็นสิ่งที่นำไปสู่การเรียนรู้  รู้จักธรรมชาติ  สิ่งแวดล้อม  รู้จักช่างสังเกต  คิดเชื่อมโยงเหตุผล  ทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในความสำเร็จของการเล่น  ได้เรียนรู้บทบาทของการเป็นผู้ใหญ่  ได้เรียนรู้ในส่วนของกระบวนการคิด – วางแผน – อีกทั้งการเล่นยังเป็นส่วนช่วยให้เด็กพัฒนาไปสู่วิถีการดำเนินชีวิตเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่  ประสบการณ์ที่ได้รับจากการเล่นจะช่วยพัฒนาศักยภาพของเด็กในด้านต่าง ๆ ได้แก่
   -ด้านร่างกาย  (Physical Development) การเล่นช่วยพัฒนากล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย เกิดการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กันระหว่างระบบประสาทและมัดกล้ามเนื้อ
   -ด้านสติปัญญา  (Cognitive Development) การเล่นช่วยให้เด็กปรับตัว พัฒนาด้านความคิด  เกิดการแก้ปัญหา  คิดวิเคราะห์  สังเคราะห์ เข้าใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว
   –ด้านภาษา  (Language Development)  การอ่าน  การเขียน  การเล่น  เด็ก ๆ จะได้รู้คำศัพท์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นจากการใช้ภาษาสื่อสารระหว่างผู้เล่น
   –ด้านอารมณ์  (Emotional  Development)  การเล่นช่วยให้เด็กเกิดการแสดงอารมณ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น  กลัว  โกรธ  เครียด  ซึ่งอารมณ์ลบเหล่านี้แสดงผ่านออกมาทางการเล่น  การเล่นทำให้เกิดความมั่นใจในตนเอง   เด็กจะเกิดความสุขเมื่อตนเองเล่นประสบความสำเร็จ
   -ด้านความคิดและจินตนาการ (Creativity and Imaginary Development)   การเล่นสามารถต่อยอดและส่งเสริมจินตนาการให้เด็กอย่างแน่นอน

ขอบคุณ
ที่มา :theasianparent  thailand

ของเล่นเด็ก

วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เลโก้ ของเล่นที่ฉลาดที่สุดในโลก

 เลโก้ ของเล่นที่ฉลาดที่สุดในโลก

       เลโก้ (LEGO) เป็นตัวต่อพลาสติกยอดนิยมท่ีมีลักษณะเหมือนก้อนอิฐหลากสีสันและขนาดที่มีปุ่มและร่องให้ประกอบเข้าด้วยกันโดยไม่ใช้กาว เพื่อให้ผู้เล่นนําไปต่อเป็นรูปร่างต่าง ๆ นาๆ

   ถือกําเนิดขึ้นในราวปี 1932 เมื่อ โอเล่ เคิร์ก คริสเตียนเซ่น (Ole Kirk Kristiansen) ช่างไม้และช่างทําเฟอร์นิเจอร์ผู้เชี่ยวชาญจากเมืองบิลุนด์ ประเทศเดนมาร์ก ที่ช่วงนั้นเองได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักจากความล้มเหลวในธุรกิจเดิม เขาจึงตัดสินใจเริ่มธุรกิจใหม่ของตัวเอง โดย

ผลิตสินค้าและเครื่องมือเครื่องใช้หลากหลายชนิดออกมาจําหน่าย อย่างเช่น บันไดพับ โต๊ะรองรีดผ้า ม้านั่ง รวมถึงของเล่นไม้ด้วย
   ช่ือของบริษัทถูกต้ังขึ้นมาจากการนําตัวอักษรสองตัวแรกของคําสองคําในภาษาเดนมาร์กอย่าง “LEg” และ “GOdt” (ซึ่งแปลว่า “Play Well” หรือ “เล่นได้เล่นดี”) มาผสมกัน ท้ังยังเป็นคําที่มีความหมายในภาษาละตินว่า “I put together” ซึ่งแปลว่า “ฉันวางเอาไว้ด้วยกัน” ตอน

แรกบริษัทมีพนักงาน 6-7 คน โดยมี กอดต์เฟรด เคิร์ก คริสเตียนเซ่น (Godtfred Kirk Christiansen) ลูกชายของเขา เป็นหนึ่งในพนักงานของบริษัทตั้งแต่อายุเพียงแค่ 12 ปี
   ด้วยความที่เป็นช่างฝีมือ โอเล่ เคิร์ก คริสเตียนเซ่น จึงเป็นคนที่ใส่ใจต่อคุณภาพของสินค้าเป็นอย่างมาก เขามีคติพจน์ประจําใจในการทํางานว่า “Only the best is good enough” (ส่ิงท่ีดีท่ีสุดเท่านั้นถึงจะดีพอ) โดยของเล่นไม้ทุกชิ้นของเขาจะถูกผลิตด้วยความประณีต แข็งแรง

ทนทาน สีที่ใช้ต้องเคลือบถึง 3 ชั้น ซึ่งถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองสําหรับยุคเศรษฐกิจซบเซาในช่วงนั้น
   ว่ากันว่ามีคร้ังหน่ึง กอดต์เฟรด ลูกชายของเขาต้องการประหยัดงบของบริษัท จึงทําการเคลือบสีของ เล่นแค่สองช้ัน เมื่อโอเล่ทราบเรื่องจึงสั่งให้หยุดการส่งสินค้า และให้ลูกชายนํากลับมาเคลือบสีเพิ่มให้ครบและบรรจุใส่กล่องใหม่เพียงคนเดียวเท่าน้ัน ในภายหลังกอดต์เฟรดได้ทําป้าย

ท่ีเขียนคติพจน์ประจําใจของพ่อขึ้นมาเพื่อแขวนในห้องทํางาน และยึดถือมันเป็นแนวทางหลักของตนเองและแนวทางของบริษัทจวบจนทุกวันนี้
   ในปี 1942 โรงงานเลโก้ถูกเผาราบเป็นหน้ากลองจากเหตุการณ์จลาจล แต่โรงงานในส่วนที่ผลิตของเล่นถูกรื้อฟื้นกลับมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในปี 1946 เลโก้กรุ๊ป เป็นบริษัทแรกในเดนมาร์กท่ีส่ังซื้อเครื่องฉีดพลาสติกสําหรับผลิตของเล่น

หลังจากนั้นไม่กี่ปี บริษัทก็ผลิตของเล่นไม้และพลาสติกหลากหลายแบบราว 200 ชนิด ซึ่งรวมถึงของเล่นตัวต่อที่เป็นต้นแบบของตัวต่อเลโก้ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน ที่มีชื่อว่า Automatic Binding Bricks และมีวางขายเฉพาะในเดนมาร์กเท่าน้ัน โดยผลิตออกมาสี่สี บริษัทเดินหน้าสู่การ

เป็นบริษัทผู้ผลิตของเล่นเต็มตัว

   ในปี 1950 กอดต์เฟรด เคิร์ก คริสเตียนเซ่น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองประธานบริษัทในขณะท่ีมีอายุ เพียง 30 ปี หลังจากนั้นหน่ึงปี ของเล่นพลาสติกเพิ่มสัดส่วนเป็นครึ่งหน่ึงของจํานวนการผลิตท้ังหมด
   ในปี 1953 Automatic Binding Bricks มีช่ือใหม่เป็น “LEGO Mursten” (LEGO Bricks – ตัวต่อเลโก้) โดยมีชื่อของบริษัทพิมพ์อยู่ด้านในของตัวต่อทุกตัว ชื่อ LEGO ได้รับการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้าอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม 1954
   กอดต์เฟรดเดินทางท่องเท่ียวและพบตัวแทนจัดซื้อในอังกฤษ พวกเขาคุยเก่ียวกับเรื่องของเล่น ตัวแทนคนน้ันบอกว่าของเล่นส่วนใหญ่ในเวลาน้ันขาดแนวคิดและระบบที่ดี คําพูดนี้ได้บ่มเพาะแรงบันดาลใจเกี่ยวกับการออกแบบของเล่นแนวใหม่ให้กับเขา
   ในปี 1955 หลังจากพัฒนาตัวต่อเลโก้ให้สมบูรณ์แบบข้ึน บริษัทได้ทําการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่ปฏิวัติวงการของเล่นอย่าง LEGO System of Play ที่สร้างระบบใหม่ของการเล่นข้ึนมา ด้วยชุดของเล่นตัวต่อ 28 ชุด ตัวต่อรถแบบต่างๆ 8 แบบ และอุปกรณ์เสริมอย่าง ต้นไม้ เสาไฟ

ปั้มน้ํามัน และป้ายจราจร ฯลฯ โดยเป็นครั้งแรกท่ีผู้เล่นสามารถสร้างสรรค์การเล่นได้ตามจินตนาการโดยไม่ถูกจํากัดให้ทําตามแบบในคู่มือเท่านั้น สินค้าตัวใหม่น้ีถูกเปิดตัวในงานแสดงของเล่นที่ นูเรมเบิร์ก เยอรมนี แต่ไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร อาจจะเพราะความท่ีมันแปลกใหม่เกิน

ไป แต่ก็มีการส่งสินค้าออกไปขายนอกประเทศเป็นครั้งแรก โดยเริ่มต้นท่ีประเทศสวีเดน
   ในปี 1957 ระบบการเช่ือมต่อแบบใหม่ของตัวต่อเลโก้ถูกคิดค้นขึ้น ด้วยการใช้ปุ่มด้านบน และท่อทรงกระบอกด้านล่างซึ่งทําให้ตัวต่อต่อกันได้อย่างมั่นคงขึ้น มันถูกจดสิทธิบัตรและถูกวางขายในอีกหนึ่งปีต่อมา ซึ่งก็คือตัวต่อเลโก้แบบเดียวกับที่เราเห็นกันในปัจจุบันนั่นเอง
   ในปีเดียวกันนั้นเอง ประธานผู้ก่อตั้งบริษัทและบิดาผู้ให้กําเนิดเลโก้อย่าง โอเล่ เคิร์ก คริสเตียนเซ่น ได้ เสียชีวิตลง กอดต์เฟรด เคิร์ก คริสเตียนเซ่น ผู้เป็นบุตรชายจึงต้องขึ้นดํารงตําแหน่งแทน มีการตั้งสาขาของเลโก้ ในหลายประเทศในยุโรป ท้ัง ฝรั่งเศส อังกฤษ เบลเยียม และสวีเดน

ปี 1960 เกิดไฟไหม้ขึ้นที่โกดังเก็บของเล่นไม้ของเลโก้จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ประกอบกับของเล่นพลาสติกได้รับความนิยมกว่ามาก บริษัทจึงตัดสินใจหยุดการผลิตของเล่นไม้และหันมามุ่งผลิตของเล่นพลาสติกเพียงอย่างเดียว
   ในปี 1963 กอดต์เฟรด เคิร์ก คริสเตียนเซ่น นําเสนอบุคลิกสิบประการของเลโก้ คือ 1. ศักยภาพในการเล่นท่ีไม่จํากัด 2. เหมาะสําหรับทุกเพศ 3. เหมาะสําหรับทุกวัย, 4. เล่นได้ตลอดปี 5. เล่นได้อย่างถูกสุขอนามัยและสงบเสงี่ยม 6. เล่นได้ทนทานยาวนาน 7. เสริมสร้างพัฒนาการ

จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ 8. ย่ิงมีมากย่ิงเปี่ยมประโยชน์ 9. มีแบบพิเศษให้เลือกเล่น 10. เปี่ยมคุณภาพในทุกรายละเอียด
   อีกทั้งยังนําวัสดุชนิดใหม่อย่าง พลาสติก ABS (Acrylnitrile Butadiene Styrene) มาใช้แทนวัสดุเก่า อย่างพลาสติก Cellulose Acetate ในการผลิตตัวต่อเลโก้ ซึ่งวัสดุใหม่นี้มีความทนทาน สีสันสดใส ผลิตได้ไว และมีความแม่นยํา และยังยึดเกาะกันเวลาต่อได้ดีกว่า ตัวต่อเล

โก้กว่า 706 ล้านชิ้นถูก ผลิตออกมาในแต่ละปี และวางขายใน 42 ประเทศทั่วโลก มีชิ้นตัวต่อเลโก้ในแบบที่แตกต่างกัน 218 แบบ (ไม่นับสี) เซ็ตตัวต่อเลโก้ถูกขายไป 18 – 19 ล้านชุดต่อปี
   ในปีถัดมา สวนสนุก LEGOLAND เปิดขึ้นที่เมือง บิลุนด์ในวันที่ 7 มิถุนายน 1968 มันดึงดูดนักท่องเท่ียวกว่าหกหมื่นคนในฤดูกาลแรกท่ีเปิดตัว
   ในปี 1969 เลโก้ออกสินค้าไลน์ใหม่ Lego Duplo ซึ่งเป็นตัวต่อที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติแปดเท่าสําหรับเด็กท่ีมีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเล็กกลืนตัวต่อลงคอ มาวางขายทั่วโลก
   ปี 1973 โลโก้ใหม่ของเลโก้ถูกนํามาเปลี่ยนแทนโลโก้เดิมของเลโก้ที่มีหลายแบบ สินค้าทุกชนิดของเลโก้จะใช้โลโก้ตัวนี้เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจวบจนถึงปัจจุบัน
   ในปี 1977 คิจลด์ เคิร์ก คริสเตียนเซ่น (Kjeld Kirk Kristiansen) ทายาทรุ่นที่สามลูกชายของกอดต์เฟ รดเข้าร่วมทีมบริหารของเลโก้กรุ๊ป อีกสองปีต่อมาเขาได้รับการแต่งต้ังเป็นประธานและซีอีโอของ INTERLEGO A/S เลโก้ออกสินค้าตัวใหม่ LEGO TECHNIC ตัวต่อ

ท่ีมีมอเตอร์และกลไกสําหรับเด็กโต ในปีถัดมาเลโก้ออกโรดโชว์เป็นครั้งแรกในหลาย ๆ ประเทศ และต่อมาก็ได้กลายเป็นงานเลโก้เวิร์ลโชว์ในที่สุด
   ในปี 1986 กอดต์เฟรด เคิร์ก คริสเตียนเซ่น ลาออกจากการเป็นประธานกรรมการของ LEGO System A/S และ LEGO Overseas และให้ คิจลด์ เคิร์ก คริสเตียนเซ่น ขึ้นดํารงตําแหน่งแทน ในปี 1990 LEGO Group เป็นบริษัทผลิตของเล่นเพียงแห่งเดียวในยุโรปท่ี ติด 1

ใน 10 ผู้ผลิตของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก กอดต์เฟรด เคิร์ก คริสเตียนเซ่น เสียชีวิตลงในวันท่ี 13 กรกฎาคม 1995
   ในปี ค.ศ. 1996 ได้มีการเปิดเว็บไซต์ www.lego.com และในวันที่ 29 มีนาคม ปีเดียวกัน ได้มีการเปิด LEGOLAND Windsor ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือเป็นเลโก้แลนด์แห่งแรกที่อยู่นอกประเทศเดนมาร์ก
   ในปี 1999 ตัวต่อเลโก้ได้รับการเสนอชื่อเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์แห่งศตวรรษ (Products of the Century) โดยนิตยสารฟอร์จูน
   ปี 2003 เลโก้กรุ๊ป ประกาศผลกําไรท่ีมหาศาลถึง 1.4 พันล้าน DKK ในปัจจุบัน เลโก้ติดอยู่ใน 5 อันดับบริษัทผลิตของเล่นที่มียอดขายสูงสุดของโลก และยังคงเป็นบริษัทที่ดําเนินงาน และเป็นเจ้าของโดยครอบครัว เคิร์ก คริสเตียนเซ่นอยู่
   เลโก้ เป็นของเล่นสารพัดประโยชน์ที่ได้รับการยกย่องว่าสร้างเสริมทักษะต่าง ๆ ของเด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี เหมาะสําหรับผู้เล่นทุกเพศทุกวัย (สังเกตได้ว่าเราจะเห็นผู้ใหญ่วัยกลางคนนั่งต่อเลโก้อยู่คนเดียวในบูธเลโก้ตามห้างสรรพสินค้าอยู่บ่อย ๆ) มันช่วยให้เด็กวัยเรียน

รู้ได้พัฒนาความสามารถในการหยิบจับ แยกสี นับเลข และยังช่วยพัฒนาความคิด จินตนาการ และทักษะทางด้านการออกแบบสร้างสรรค์และตรรกะอีกด้วย นอกจากเลโก้จะเป็นตัวต่อที่หยิบเอาคน สัตว์ สิ่งของ ยวดยานพาหนะ อาคารบ้านเรือนหรือ สถาปัตยกรรมต่างๆ ที่อยู่รอบตัวของ

เด็กๆ มาสร้าง เป็นตัวต่อได้แล้ว มันยังนําเอาเรื่องราวจากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อในวัฒนธรรมป๊อปอย่าง การ์ตูน หรือภาพยนตร์ มาใช้เป็นธีมหลักอีกด้วย
   หลายปีที่ผ่านมาเลโก้ซื้อลิขสิทธิ์การ์ตูนและ ภาพยนตร์จํานวนมากมายมหาศาลมาทําเป็นธีมของเล่น อาทิเช่น Cars, Harry Potter, Indiana Jones, Lord of the Rings, Pirates of the Caribbean, Prince of Persia, Speed Racer, Spider-Man, SpongeBob SquarePants, Star Wars, Super Heroes, Thomas the Tank Engine, Toy Story, The Lone Ranger และ The Hobbit เป็นต้น
   นอกจากน้ันยังมีหนังท่ีนําเอาคาแรคเตอร์ของเลโก้ ไปเป็นตัวละครเอกในเรื่อง อาทิ LEGO: The Adventures of Clutch Powers (2010) (ดีวีดี) รวมถึงหนัง 3D แอนิเมชั่นฉายโรงอย่าง The Lego Movie (2014) ซึ่งท้ังตัวละครและฉากต่างๆ ล้วนประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนของเลโก้ (ที่ทําจากคอมพิวเตอร์กราฟิค) ทั้งสิ้น และล่าสุดที่เพิ่งเข้าฉายในปีนี้อย่าง The LEGO Batman Movie (2017) นั่นเอง

       เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเลโก้
ในความเป็นจริง เลโก้ไม่ใช่ผู้คิดค้นระบบตัวต่อแบบ Automatic Binding Bricks ออกมาวางขายเป็นรายแรก หากแต่เป็น Kiddicraft ทําออกมาก่อน และเลโก้นํามันมาพัฒนาต่อยอดอีกทอดนึง
เครื่องจักรของโรงงานเลโก้นั้นแม่นยํามาก โดยท่ีมีความคลาดเคลื่อนต่ำกว่า 0.002 มิลลิเมตรเท่านั้น ในทุก ๆ หนึ่งล้านชิ้น จะมีเพียง 18 ชิ้นเท่าน้ันที่ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานโรงงาน
มี 915 ล้านวิธีการที่จะประกอบเลโก้ธรรมดาเพียงแค่หกตัว
ในปี 2013 ชิ้นส่วนตัวต่อเลโก้ห้าหมื่นหกพันล้านชิ้นถูกผลิตออกมา คิดเฉลี่ยออกมาเป็นเลโก้ 80 ช้ินสําหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ และในแต่ละปีมีเด็กและผู้ใหญ่ที่เล่นตัวต่อเลโก้มากกว่า 400 ล้านคนท่ัวโลก
ถ้าคุณเอาตัวต่อ Lego 40,000 ล้านช้ินมาต่อเรียงกันเป็นเสา มันจะสูงถึงดวงจันทร์ ถ้าเอาชุดตัวต่อ Lego ที่คนซื้อไปใน 1 ปีมาวางซ้อนกันไว้ มันจะเต็มสนามฟุตบอลขนาดใหญ่และสูงขึ้นไปเกือบ 78 เมตรหรือพอ ๆ กับตึก 26 ชั้น หรือถ้าเอาตัวต่อ Lego ที่มีคนซื้อใน 1 ปีนั้นมาต่อ

เรียงยาวๆ มันจะวนรอบโลก ได้มากกว่า 5 รอบ
โดยประมาณแล้ว จะมีคนซื้อชุดตัวต่อ Lego 7 ชุดในทุกๆ วินาที
คุณสามารถหาซื้อ Lego แทบจะท่ีไหนก็ได้ในโลก เพราะ Lego มีจําหน่ายอยู่ในมากกว่า 130 ประเทศ
เด็กๆทุกคนท่ัวโลกใช้เวลาเล่น Lego ใน 1 ปีรวมกัน ประมาณ 5 พันล้านชั่วโมง
ไม่มีเลโก้เซ็ตไหนที่มีธีมเกี่ยวกับเรื่องทางการทหาร เหตุเพราะ โอเล่ เคิร์ก คริสเตียนเซ่น ไม่อยากให้เด็ก ๆ มีความสนใจในสงคราม เดิมทีไม่มีตัวต่อเลโก้แบบไหนที่ดูเหมือนอาวุธสงคราม อย่างเช่น ปืน ด้วยซ้ำ แต่ก็มีการเปลี่ยนนโยบายในภายหลัง เนื่องจากมีข้อตกลงในสัญญาในการ

นําภาพยนตร์มาใช้เป็นธีมหลัก แต่ก็มีกําหนดอย่างชัดเจนว่าให้อยู่ในรูปแบบของแฟนตาซี และจินตนาการเท่านั้น
ตั้งแต่ปี 1981 โฆษณาของเลโก้สะท้อนถึงแนวคิดการไม่แบ่งเพศของเด็ก แต่ในปี 2012 ท่ีผ่านมา เลโก้ออกสินค้าชิ้นใหม่ที่ใช้ช่ือว่า LEGO Friends ผลิตตุ๊กตาและข้าวของต่างๆ ในโทนสีชมพู เน้นให้เด็กเล่นโดยใช้ชีวิตแบบผู้หญิง ทําให้กลุ่มผู้ปกครองกลุ่มหน่ึงถึงกับล่ารายช่ือร้อง

เรียนให้เลโก้พิจารณา สินค้าตัวนี้ใหม่ เพราะที่ผ่านมาเลโก้สร้างความสบายใจให้พ่อแม่ท่ีซื้อเพราะเน้นให้เด็กคิดเล่นอย่างสร้างสรรค์โดยไม่มีการแบ่งแยก แต่เมื่อมาแตกไลน์สินค้าเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำค่านิยมความเป็นหญิงเป็นชายให้กับของเล่นตัวต่อเด็กที่ควรจะไร้เพศ นอก

จากบอกว่า นี่คือของสําหรับเด็กผู้หญิงเท่าน้ันแล้ว หากมีเด็กผู้ชายอยากเล่น LEGO Friends ก็อาจจะเกิดประเด็นอีก แต่ปรากฏว่า ยอดขาย LEGO Friends กลับพุ่งพรวดเกินความคาดหมาย จนผู้ผลิตยังแปลกใจทั้งท่ีโดนทักท้วงและต่อว่าขนาดหนัก
   ในบทหนึ่งของหนังสือ โลกของโซฟี (Sophie’s World) เขียนโดย โยสไตน์ กอร์เดอร์ (Jostein Gaarder) กล่าวเอาไว้ว่า เลโก้เป็นของเล่นที่ฉลาดท่ีสุดในโลก หนังสือกล่าวเปรียบเทียบเลโก้ว่า “มีคุณสมบัติคล้ายกับอะตอมในปรัชญาของเดโมคริตุส และนี่คือเหตุผลที่ทําให้มันเป็น

ของเล่นที่สนุก เพราะประการแรกและประการท่ีสําคัญที่สุด ตัวเลโก้ไม่สามารถแบ่งออกเป็นช้ินเล็ก ๆ ได้อีก มันมีรูปร่างและขนาดต่าง ๆ กัน ทนทาน ไม่แตกหัก สีสันสดใสไม่ซีดจาง แม้จะผ่านไปหลายสิบปี มันสามารถประกอบเป็นอะไรก็ได้ หลังจากนั้นก็สามารถถอดเป็นช้ิน ๆ และ

ประกอบเป็นอย่างอื่นได้อีก การที่เราสามารถเล่น ได้ครั้งแล้วครั้งเล่าทําให้เลโก้เป็นของเล่นยอดนิยม ตัวเลโก้ตัวหน่ึงในวันนี้อาจเป็นส่วนหน่ึงของรถบรรทุก พอวันต่อมาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของปราสาท เราอาจพูดได้ว่าตัวเลโก้มีความเป็น “อมตะ” ด้วยเหตุนี้ เด็ก ๆ ในวันนี้จึงสามารถเล่น

ตัวต่อที่พ่อ แม่ของแกเคยเล่นมาแล้วต้ังแต่คร้ังยังเป็นเด็กได้ เราจะอยากได้อะไรมากกว่าน้ีจากของเล่นอย่างหนึ่งล่ะ?

#GTB #goodtoysbaby #lego #toy #play #LEg #GOdt #เสริมจินตนาการ #automaticbindingbricks #LEGObricks #LEGOsystemofPlay #เสริมพัฒนาการ #คิดสร้างสรรค์



ขอบคุณ
ที่มา: http://www.wurkon.com/full/researchs/lego


วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

กิจกรรมการเล่นที่ไม่ต้องใช้ของเล่นสร้างสายใยให้ครอบครัว

 กิจกรรมการเล่นที่ไม่ต้องใช้ของเล่นสร้างสายใยให้ครอบครัว

  1.กระโดดตัวลอย คุณแม่จับมือทั้งสองข้างของลูกไว้ จากนั้นให้ลูกกระโดด คุณแม่หาจังหวะดึงมือขึ้นเพื่อให้ลูกกระโดดสูงกว่าเดิม เมื่อทำซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ รอบก็ดึงลูกมากอด ไม่ใช่กระโดดสูงเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่อาจช่วยดึงลูกขึ้นมาด้วย ทำให้ลูกรู้สึกว่าเขากระโดดสูง ๆ ด้วยตนเอง ลูกจะสนุกสนานและตื่นเต้นมาก
  2.ไม้ลื่นลื่นไถล คุณแม่หรือคุณพ่อนั่งบนเก้าอี้ อุ้มลูกนั่งบนตัก จากนั้นใช้มือทั้ง 2 ข้างเท้าเก้าอี้แล้วยกลำตัวข้างบนขึ้น ปล่อยให้ลูกไหลลงมาตามขาทั้ง 2 ข้าง แม้ว่าระยะทางจะสั้นแต่เป็นไม้ลื่นจากขาคุณพ่อคุณแม่ลูกจะสนุกและมีความสุขมากค่ะ
  3.ลาวกระทบไม้ คุณแม่นั่งเหยียดขามาข้างหน้าให้ลูกยืนคร่อมขาเอาไว้และจับมือทั้ง 2 ข้างให้แน่น จากนั้นกางขา หุบขา ให้ลูกกระโดดไปมา ระหว่างเล่นคุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสียงเป็นจังหวะให้ลูกด้วย เมื่อรู้จังหวะจะกระโดดคล่องขึ้น
  4.เรือโยกเยก คุณแม่นั่งเหยียดขาไปข้างหน้า อุ้มลูกนั่งบนตักพร้อมจับมือ 2 ข้างไว้ จากนั้นโน้มตัวไปข้างหน้าพร้อมกับให้ลูกเอนตัวลงนอนพอคุณแม่เอนตัวลงนอนแล้วจึงดึงตัวลูกโน้มตัวไปข้างหน้าทำแบบนี้สลับกัน ควรร้องเพลงประกอบด้วยจะทำให้ลูกสนุกเพลิดเพลินยิ่งขึ้น
  5.แม่ลูกเพนกวิน จับลูกยืนบนหลังเท้าของคุณแม่ โดยหันหน้าเข้าหากัน จากนั้นเดินไปข้างหน้าบ้างถอยหลังบ้าง ทำให้ลูกรู้สึกว่าตนเองเป็นคนเดียวกับพ่อแม่ ตอนแรกให้เดินช้า ๆ ก่อนแล้วค่อยเดินเร็วขึ้น

ขอบคุณ
ที่มา :theasianparent thailand

วิธีเลือกของเล่นให้ลูกอย่างสมวัย

    วิธีเลือกของเล่นให้ลูกอย่างสมวัย
   ของเล่นและการเล่นของเด็กตั้งแต่วัยทารกจนถึงวัยเตาะแตะ เป็นสิ่งสำคัญ  เพราะนอกจากที่เจ้าหนูจะสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับการเล่น  ของเล่นยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับลูกของคุณพ่อคุณแม่อีกด้วย  ดังนั้น  การเข้าใจถึงพัฒนาการของเด็กในแต่ละวัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้พ่อแม่สามารถเลือกของเล่นให้ลูกได้อย่างถูกต้องเหมาะสมนั่นเอง

 ของเล่นเด็กวัยแรกเกิด – 6 เดือน
  1. กระตุ้นการมองเห็น ได้แก่  ของเล่นที่มีสีสันสดใสเพื่อดึงดูดสายตา  เช่น  โมบายลวดลายกราฟฟิก   หรือรูปภาพที่มีสีตัดกันอย่างชัดเจน  เช่น  ดำ-ขาว / น้ำเงิน-เหลือง / แดง-เขียว เป็นต้น  หรือเลือกที่มีเสียงกรุ๊งกริ๊ง ๆ เวลาที่ลมพัดก็ได้
  2. กระตุ้นการฟังเสียง ได้แก่ ของเล่นที่มีเสียง เช่น กล่องดนตรี ของเล่นที่เขย่าหรือบีบให้เกิดเสียง
  3. ของเล่นเสริมกล้ามเนื้อ ได้แก่ ของเล่นที่บีบหรือเขย่าแล้วเกิดเสียง ของเล่นที่มีมือสอดกำได้ ลูกบอลนุ่ม ตุ๊กตาผ้ารูปสัตว์ เพื่อส่งเสริมการใช้มือ-นิ้วมือสำหรับหยิบจับสิ่งต่าง ๆ
  4. ของเล่นเสริมสติปัญญา ได้แก่ หนังสือลอยน้ำ หนังสือภาพ โดยมีคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใกล้ชิดคอยอ่านให้ฟัง และชวนดูสีสันต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหนังสือ  กระจกเงาฝึกการรู้จักตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว

  ของเล่นเด็กวัย 6 – 12 เดือน
  1. กระตุ้นประสาทสัมผัส  ได้แก่ ของเล่นที่มีผิวสัมผัสแตกต่างกัน เช่น เรียบ หยาบ นุ่ม แข็ง เพื่อกระตุ้นทักษะ การสัมผัส ของเล่นที่ดูด หรือกัดได้ เช่น  ยางกัดรูปทรงต่าง ๆ  เพื่อกระตุ้นการรับรู้และช่วยลดอาการคันเหงือกของเด็ก
  2. ของเล่นเสริมกล้ามเนื้อ ได้แก่ ของเล่นประเภทลากจูง    เพื่อฝึกการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อขา  เล่นลูกบอลนุ่ม  บล็อกไม้ใหญ่ ๆ  กล่องหยอดรูปทรงง่าย ๆ เพื่อฝึกการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมือและนิ้วมือในการหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ  ของเล่นที่เขย่าให้เกิดเสียง  เพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่น มือ นิ้วมือ
  3. ของเล่นเสริมสติปัญญา ได้แก่ หนังสือที่มีรูปภาพขนาดใหญ่สีสันสดใส ซึ่งพ่อแม่อ่านให้ฟังหรือให้ลูกเปิดหนังสือด้วยตัวเอง  แล้วออกเสียงตาม กระจกเงาเป็นการฝึกให้เด็กรู้จักตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว ของเล่นลอยน้ำ เช่น  ถ้วยกระป๋องเล็ก ๆ เมื่อลูกอาบน้ำให้ลูกรินน้ำและเทเล่นเพื่อปูพื้นทางคณิตศาสตร์เรื่องการกะปริมาณ เป็นต้น

  ของเล่นเด็กวัย 1 – 2 ขวบ 
  1. ของเล่นเสริมกล้ามเนื้อและการประสานสัมพันธ์   ได้แก่   ของเล่นประเภทดันหรือลากจูง (Push Toys & Pull Toys) ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อแขนขาในการทรงตัวและฝึกการบังคับทิศทางการเดิน  ของเล่นประเภททุบ ตอก หรือตี เช่น  ระนาดหรือกลองที่มีเสียงต่าง ๆ ซึ่งนอกจากทำให้เด็กเรียนรู้ความแตกต่างของเสียงแล้วยังฝึกการใช้กล้ามเนื้อมือ   นิ้วมือ  และการประสานสัมพันธ์ระหว่างสายตาและมือ
  2. ของเล่นเสริมความคิดและสติปัญญา ได้แก่ กล่องหยอดรูปทรงเรขาคณิต    เพื่อฝึกการสังเกตและเรียนรู้สี    รูปทรงเลขาคณิตต่าง ๆ  หนังสือภาพ    เป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษา  การปั้นดินน้ำมัน แป้งโด ซึ่งช่วยฝึกสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ ในการปั้นให้เป็นรูปต่าง ๆ ตามจินตนาการของตัวเอง

  ของเล่นเด็กวัย  2 – 3 ขวบ  
  1. ของเล่นเสริมกล้ามเนื้อและการประสานสัมพันธ์   ได้แก่  ม้าโยก จักรยานสามล้อซึ่งนอกจากความสนุกสนานแล้วยังช่วยให้เด็กฝึกใช้กล้ามเนื้อแขนขาในการทรงตัว    สร้างความสมดุลของร่างกายฝึกร้อยลูกปัดขนาดใหญ่    เพื่อฝึกการใช้กล้ามเนื้อมือและนิ้วมือ   รวมทั้งช่วยพัฒนาการทำงานของสายตาและมือให้สัมพันธ์กัน
  2. ของเล่นเสริมความคิดและสติปัญญา  ได้แก่ แป้นเรขาสวมหลัก   เป็นการฝึกทักษะการแก้ไขปัญหา   ลองผิดลองถูกเพื่อวางให้ถูกรูปทรง  รถไฟเรียงซ้อน ฝึกทักษะการสังเกต  การลองผิดลองถูก   และเรียนรู้   เรื่อง   ขนาด สีสันและรูปทรงต่าง ๆ
  3. ของเล่นเสริมบทบาทสมมติ  ได้แก่ ชุดของเล่นเรียนแบบของจริง เช่น   ชุดรวมมิตรผักผลไม้ สอนเด็กให้เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับผักผลไม้ โดยเล่านิทานผูกเรื่องราวให้เด็กสมมติตัวเองเป็นตัวละครในเรื่องราวนั้น ซึ่งทำให้เด็กได้แสดงความเป็นตัวเองออกมา และช่วยให้เด็กรู้จักเข้าใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากขึ้น

   ของเล่นเด็กวัย  4 – 6 ขวบ
  1. ของเล่นเสริมกล้ามเนื้อและการประสานสัมพันธ์  ได้แก่  รถจักรยานสองล้อ เชือกกระโดด ซึ่งช่วยฝึกการทรงตัวและสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อขา  ฝึกร้อยเชือกรองเท้า ช่วยพัฒนาการทำงานประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือและเพิ่มทักษะการใช้กล้ามเนื้อมือเพื่อประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน เช่น  การติดกระดุมเสื้อ เป็นต้น
  2. ของเล่นเสริมความคิดและสติปัญญา ได้แก่  ชุดแท่งไม้สร้างเมือง ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กในการออกแบบโครงสร้าง เพื่อวางแท่งไม้ให้เป็นรูปแบบเมืองต่าง ๆ  ส่งเสริมความเข้าใจทางคณิตศาสตร์เรื่องของสมดุล  ซึ่งทำให้เด็กเรียนรู้การวางไม้แต่ละชิ้นให้สมดุลชุด เครื่องมือช่างสร้างสรรค์พัฒนาความคิด  และฝึกทักษะการสังเกตในการประกอบชุดไม้เป็นรูปแบบต่าง ๆ  รวมทั้งทำให้เด็กเรียนรู้อุปกรณ์ต่าง ๆ ในงานช่างไม้ เช่น  การขันน็อต ไขควง เป็นต้น
  3. ของเล่นเสริมบทบาทสมมติ ได้แก่ ชุดสร้างเมือง ซึ่งเป็นการเล่นที่สะท้อนความคิด  ความเข้าใจของเด็กในสิ่งที่กำลังเรียนรู้   รวมทั้งช่วยให้เด็กเรียนรู้บทบาทหน้าที่ของตนเองและผู้อื่นในชีวิตประจำวันและสร้างพื้นฐานการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วย

 ฝากข้อคิด   แม้ของเล่นกับเด็กจะเป็นของคู่กันเพื่อสร้างความสนุกสนานและพัฒนาทักษะการเรียนรู้และพัฒนาการในด้านต่าง ๆแต่คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะว่า  ของเล่นที่ดีที่สุดของลูก คืออะไร  คำตอบคือ  คุณพ่อคุณแม่นั่นเอง !!! สิ่งสำคัญการเล่นของลูกนั้นหากคุณพ่อคุณแม่ร่วมเล่นกับลูกด้วย  การได้พูดคุย  ซักถาม  โอบกอด  ยิ้มให้กัน  จะสร้างความสุขให้แก่ลูกได้อย่างมาก   อีกทั้งคุณพ่อคุณแม่เองก็จะได้เห็นพัฒนาการของเจ้าตัวน้อย  สอนและชี้ชวนให้ลูกคิดและทำ  ฝึกฝนความมั่นใจ  แต่อย่าลืมนะคะหากลูกทำสำเร็จ  เช่น  สร้างบ้านด้วยตัวต่อ  ระบายสีรูปจนเสร็จ   คุณพ่อคุณแม่ต้องชมเชยลูกทันทีที่ลูกทำสำเร็จนะคะ  เพราะจะเป็นกำลังใจและสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ลูก ถือเป็นการปูพื้นฐานทักษะการคิดและความมั่นใจในตนเองให้ลูกต่อไปค่ะ

ขอบคุณ
ที่มา :theasianparent  thailand

 ของเล่นเด็ก

การเลือกของเล่นให้กับเด็ก

    การเลือกของเล่นให้กับเด็ก

          ของเล่นนั้นมีความสำคัญในการพัฒนาในหลายด้านอย่างเช่นอารมณ์  สติปัญญาของเด็ก  รวมถึงด้านร่างกายด้วย  หากได้รับของเล่นที่มีความเหมาะสมจะทำให้เกิดทักษะและพัฒนาการในทางที่ดีและรวดเร็ว  ดังนั้นแล้วของเล่นจึงมีความสำคัญ  และในปัจจุบันเองของเล่นมีมากมายให้ เราได้เลือกสำหรับเด็ก  เป็นสินค้าที่มีความล้อตาล้อใจให้กับเด็กที่ต้องอ้อนให้ซื้อ  ในบางครั้งของเล่นที่เอาไปนั้นอาจจะเป็นอันตรายและไม่มีประโยชน์สำหรับเด็กก็มีมาก  ของเล่นที่มีประโยชน์และดีไม่จำเป็นราคาต้องแพง  หรือแม้กระทั่งทำเองโดยหาวัสดุที่ไม่ใช้แล้วมาทำก็เสริมพัฒนาการให้กับเด็กได้

           นอกจากนั้นแล้ว การที่จะเลือกของเล่นให้กับเด็กๆนั้นหากพบว่าของเล่นที่ไม่มีประโยชน์ควรที่จะชี้แจ้งให้เด็กทราบถึงเหตุผลที่ไม่ควรเล่นของเล่นเหล่านั้น เนื่องจากบ้านเราเองมีของเล่นที่มากมายก็จริงแต่ว่าไม่ได้มีมาตรฐานในการรองรับในด้านความปลอดภัย  ทำให้ของเล่นที่ได้มานั้นมีสารพิษและเป็นอันตรายไม่มีความแข็งแรง  ทั้งวัสดุที่ใช้มีความคม  แหลม  เป็นอันตรายทำให้เด็กบาดเจ็บอีกด้วย  นอกจากนั้นความเหมาะสมในการเลือกซื้อ  ต้องซื้อโดยให้เด็กเป็นศูนย์กลางเป็นสำคัญ  ไม่ใช้ผู้ปกครองเป็นสำคัญ  ทั้งในเรื่องเพศ  อายุ  และความสนใจของเด็ก  และอีกอย่างหนึ่งคือการเลือกของเล่นที่ให้การศึกษามากไปก็จะไม่ดีควรที่จะเป็นของเล่นที่มีความบันทิงไปด้วย

   หลักในการเลือกซื้อของเล่นให้เหมาะสม
การเลือกของเล่นให้เหมาะสมกับวัยนั้นจะช่วยให้มีพัฒนาที่เหมาะสม  ไม่ว่าจะช่วยในเรื่องของจิตนาการ  การประติสัมพันธ์กับคนในครอบครัวที่สามารถเล่นด้วยกันได้  ของเล่นนอกจากเห็นด้วยตาแล้วต้องสามารถสัมผัสได้  โดยการในแต่ละวัยควรเลือกให้เหมาะสมดังนี้
  1.ของเล่นเด็กเล็ก จะเป็นเด็กที่ยังเดินไม่แข็งแรง  ไปจนถึงก่อนอนุบาล  ก่อนอื่นเด็กในวัยนี้มักเอาของเล่นหยิบเข้าปาก  จับมาอมเล่นบ้าง ของเล่นจึงต้องมีความสะอาดและไม่มีความแหลมคม  มีความปลอดภัยให้มากที่สุด  ของเล่นในวัยนี้ควรมีความหลากหลาย  ไม่ซ้ำกันบ่อย  เพื่อให้เด็กมีจิตนาการและความคิดสร้างสรรค์  ถ้าเด็กโตขึ้นมาหน่อยควรที่จะอ่านหนังสือให้ฟังบ่อยๆ  สมุดภาพและเล่ารายละเอียดของภาพเป็นเรื่องๆ  หรือการให้ดินสอเพื่อวาดเขียน
  2.ของเล่นเด็กชายเล็ก สำหรับของเด็กชายจะต้องเน้นของเล่นที่มีเอกลักษณ์ของชาย ไม่ว่าจะเป็นรถของเล่น  เครื่องบิน  หุ่นยนต์  เด็กวัยนี้เดินได้ดีและวิ่งได้แล้วจึงเป็นของเล่นที่สามารถให้เด็กวิ่งไล่ตาม  อย่างเช่นรถที่วิ่งด้วยถ่าน
  3.ของเล่นเด็กหญิงเล็ก จะแสดงถึงความอ่อนโยน  อย่างเช่น  ตุ๊กตา  ดินสอภาพวาด  อุปกรณ์แต่งตัว  หรืออุปกรณ์ต่างๆที่เด็กชอบ
  4.ของเล่นเด็กโต สำหรับเด็กโต  ควรจะเป็นของเล่นที่สามารถเล่นได้เสมือนจริง  อย่างเช่นรถนั่ง  จักรยาน  การแตะบอล  การอ่านหนังสือเพื่อให้เด็กสามารถรักการอ่านได้เมื่อตอนโต  เด็กโตนั้นเริ่มที่จะสนใจอะไรเป็นพิเศษหลายอย่างที่มีความสนใจเป็นของตัวเอง อาจจะต้องให้ของเล่นที่เขาต้องการตามที่สนใจ  บางคนชอบรถบังคับ  บางคนชอบเครื่องมือช่าง  ดินน้ำมัน  การตกแต่งเสื้อผ้า  อุปกรณ์สำหรับแพทย์ที่เป็นของเล่นเป็นต้น

  ข้อสำคัญในการพิจารณาในการเลือกของเล่น
  1.ความปลอดภัย ความปลอดภัยควรเป็นอันดับแรกในการซื้อ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสะอาด  ความแข็งแรง  สารพิษที่สามารถเจือปนในของเล่นเด็ก  ความแหลมคม  จะทำให้เด็กได้รับบาดเจ็บและเป็นอันตราย
  2.ของเล่นที่เป็นพิษ พิษที่ว่ามักจะได้จากสีของเล่นที่ไม่ได้รับมาตรฐานแต่สำหรับคนทั่วไปนั้นไม่สามารถตรวจสอบได้เล่น  อย่างเช่น  สารตะกั่ว  สังกะสี  โลหะหนัก  ควรเลือกใช้ของเล่นจากผู้ผลิตที่ได้รับการเชื่อถือ
  3.ความสะอาด ความสะอาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องความยากง่ายในการดูแลความสะอาด  และมั่นทำความสะอาดบ่อยๆ
  4.เล่นได้ทั้งครอบครัว ต้องเป็นของเล่นที่สร้างความสัมพันธ์ให้กับเด็กโดยเล่นได้ทั้งครอบครัว  ในขณะเล่นจะอธิบายเพื่อเป็นการฝึกให้เด็กคิดและจิตนาการไปด้วยได้
  5.เป็นของเล่นที่สนใจ เป็นของเล่นที่เด็กนั้นมีความสนใจ
  6.มีความเหมาะสม ทั้งเพศและวัยของเด็ก

ขอบคุณ
ที่มา :krabork. com